วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เพิ่งเสร็จจากการปฏิบัติธรรมที่โกเอ็นก้า ปราจีนบุรี ขอนำบุญมาฝากทุกๆ ท่าน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร และขออุทิศส่วนกุศลเป็นพิเศษแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศด้วยค่ะ

ด้วยกฎของการปิดวาจา ทำให้เท็นเพิ่งทราบข่าวจากธรรมบริกรเมื่อวานนี้ ถึงข่าวของการเสด็จสวรรคตของในหลวง หลังจากที่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทราบข่าว ทุกคนต่างตกตะลึง และหลายคนก็ร้องไห้ รวมถึงตัวเท็นเองด้วย

ใจนึกไปถึงที่เคยอ่านนิยายหรือดูละครเรื่องสี่แผ่นดิน เราเห็นแม่พลอยและตัวละครอื่นๆ เศร้าโศกเสียใจ เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต เราเพียงแต่รับรู้ ว่าแม่พลอยเสียใจ

แต่บัดนี้ พอได้มาประสบด้วยตัวเอง เราถึงเข้าถึงและเข้าใจจริงๆ ว่าความเสียใจของแม่พลอยนั้นเป็นอย่างไร

แม้จะทำใจไว้แล้ว ในหลวงทรงมีพระชนมายุมาก ยังไงสักวันก็ต้องมีวันนี้ แต่พอมาประสบเข้าจริงๆ มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า นี่ฉันได้เกิดมา และมีชีวิตอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านแผ่นดินหรือ

แผ่นดินจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ขอพระเจ้าอวยพรแก่แผ่นดินของหม่อมฉันด้วยเทอญ...

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ธรรมบรรยายในวันแห่งสติ โดย หลวงพี่ฟับจั๊ด 21 พ.ค. 59

พวกเราต้องการอะไรมากมายเหลือเกินจากพระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ต้องการอะไรจากเรา?

Purpose of the Buddha คือความสุขของมวลมนุษย์ และชวนให้เราเป็นอิสระจากความทุกข์ของเรา พระองค์เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะทำเช่นนั้น

ความสุขเป็นสิ่งเรียบง่าย ทุกคนมีความสามารถที่จะมีความสุข แต่อะไรทำให้ทุกคนไม่มีความสุข มีอุปสรรคอะไร

เราทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราทุกคนมีความเป็นพุทธะในตัวเรา มีความสามารถที่จะเข้าใจ เมื่อเราบอกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า เราต้องเข้าใจว่าพุทธะคืออะไร พุทธะ แปลว่า ผู้ที่ตื่นแล้ว ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราตื่นขึ้น ตื่นแล้วแปลว่าอะไร ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา หากเราตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยม แปลว่าเรามีความตื่นรู้ นั่นคือพลังแห่งสติ พุทธะคือสติ ส่องแสงในที่ใกล้และไกล

เราทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นพระพุทธเจ้า here and now ไม่จำเป็นต้องฝึกหลายปีถึงจะมีความเป็นพุทธะ เมื่อเรามีความสามารถที่จะตระหนักรู้ลมหายใจเข้าออกและปัจจุบันขณะ เราก็มีความเป็นพุทธะ ประกอบด้วยสติและสมาธิ ทำให้เกิดปัญญาและความรู้แจ้ง และนั่นแปลว่า เรารับรู้ได้อย่างเต็มที่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในตัวเราและนอกตัวเรา เมื่อเรารู้ ก็จะรู้ว่าเราควรไม่ควรทำอะไร ถ้าเรารู้ว่าเราไม่มีความสงบในตัวเรา เราหายใจเข้าออกเพื่อให้เกิดความสงบ นั่นคือการกระทำของการรู้แจ้ง พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งเช่นนี้ตลอดวันตลอดคืน

ลองดูสิว่าเรากลับมาที่ลมหายใจได้กี่ครั้ง กี่นาที กลับมาที่ธรรมชาติความเป็นพุทธะของเรา พระพุทธองค์ตระหนักรู้ถึงก้าวย่างของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม ใจของท่านรู้ว่าเท้าของท่านเคลื่อนไหวอย่างไร มีอะไรอยู่ใต้เท้า มีอะไรอยู่รอบๆ เท้า จงเดินเหมือนไม่มีความกังวลใดๆ เป็นอิสระจากความโกรธ ความทุกข์ ความกังวล ความคิด เราใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเรา ตาของเราเปิดเต็มที่ มีสิ่งใดที่อยู่ตรงหน้าเรา มีเหตุปัจจัยที่มีความสุขอยู่แล้วรอบตัวเรา เราจึงต้องเปิดตา หู จิตใจ เพื่อที่จะรับความสุข

พระพุทธองค์ตระหนักรู้เสมอว่ามีสิ่งใดรอบตัวท่าน เมื่อท่านเห็นเด็กเล็กๆ เห็นดอกไม้ ท่านยิ้ม และยังอยู่ตรงนั้น เพื่อดอกไม้ เพื่อเด็กๆ นั่นคือความรู้แจ้งในทุกๆ ขณะ

"ไม่มีหนทางสู่ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือหนทาง" ถ้าเราอยากรู้แจ้ง เราต้องเป็นความรู้แจ้ง เราต้องสัมผัสกับประสบการณ์ตรงของธรรมะที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อรอถึงผลในวันพรุ่งนี้ ทุกขณะที่เราฝึกปฏิบัติและนำไปใช้ นั่นคือทุกขณะของความรู้แจ้ง ไม่มีหนทางสู่ความสุข ความสุขคือหนทาง เมื่อเรานำธรรมะไปใช้ ความสุขความเบิกบานจะเกิดขึ้นทันที ถ้าเราเป็นพุทธะ เราเป็นได้ทันที ไม่ต้องรอพรุ่งนี้

เรานำสติไปใช้ได้ในทุกแง่ทุกมุมของเรา โดยไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเป็นชั่วโมง อาจจะอยู่ที่บ้านล้างจาน ดูแลลูก แล้วเกิดความรู้แจ้ง เมื่อเรารู้แจ้ง เราจะรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อเราเลี้ยงลูก เราจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั่น ลูกต้องการอะไร นั่นคือการรู้แจ้งเกี่ยวกับลูก ลูกร้องไห้เพราะอะไร เรารู้ว่าเราควรทำหรือไม่ทำอะไรกับลูก

เราจะหาความกรุณาได้ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ในตัวเอง ถ้าเรารู้วิธีดูแลตัวเอง เราก็กำลังบ่มเพาะความกรุณา เมื่อร่างกายเจ็บป่วย เราเครียด เรารู้ว่าเราจะทำยังไง นั่นคือการตรัสรู้ ความกรุณา คือการปฏิบัติแห่งความรัก ความเข้าใจ

เรามักคิดว่าการตรัสรู้เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไม่สามารถดูแลการตรัสรู้เล็กๆ ก็จะไม่สามารถตรัสรู้ใหญ่ๆ ได้

เราไม่ชอบความโกรธ ความอิจฉา ความเครียด หรืออารมณ์ลบๆ และทุกๆ วันเราก็ต่อสู้กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ทำให้เราตัวเราเครียดมากขึ้น แต่การฝึกปฏิบัติของพระพุทธองค์ ไม่ใช่การต่อสู้ แต่คือสติและอหิงสา ถ้าเราต่อสู้ คนที่เจ็บปวดคือเราเอง สิ่งที่ทำไม่ใช่การต่อสู้แต่คือการยอมรับ กลับมาที่ตัวเอง ขอความช่วยเหลือจากพระพุทธองค์ในตัวเรา พระพุทธองค์จะยิ้ม เราก็ช่วยพระพุทธองค์ยิ้มด้วย ความโกรธเกิดขึ้นแล้ว ฉันจะดูแลเธอนะ ความโกรธจะลดพลังลง หายใจให้ลึกถึงท้องช้าๆ ความโกรธก็จะหายไป

ความโกรธเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา เรากำจัดไม่ได้ มันเป็นกลไกปกป้องตัวเอง เป็นพลังงานที่ทำให้เรามีความแข็งแรงมากขึ้น มีความสามารถในการต่อสู้กับสิ่งที่ลำบาก เช่นคนสมัยก่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับเสือ

ความรู้สึกที่รุนแรงของเราก็มีส่วนที่ดีด้วย แต่ชีวิตปัจจุบันเปลี่ยนไป เราอาจจะไม่ต้องใช้มากนัก ถ้าใช้มากไปจะกลายเป็นความเคยชิน และควบคุมไม่ได้อีกต่อไป มันอาจจะทำลายเราและความสัมพันธ์ เราจะทำยังไงจึงจะส่งความโกรธกลับคลังวิญญาณของเราให้หลับใหล และเรียกมันออกมาเมื่อเราควบคุมได้และต้องการใช้ เราใช้ประโยชน์จากความโกรธ ไม่ใช่ให้ความโกรธมาใช้เรา ทุกอารมณ์เป็นเช่นนี้

jealous ก็เช่นกัน ไม่ได้แย่ตลอดเวลา ถ้าภรรยาไม่แสดงความ jealous สามีก็อาจจะทำอะไรหลายอย่างไปตามทางของเขา

เมื่อเรามีความตื่นรู้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในตัวเรา

เราไม่อาจถือระฆังสติเพื่อเตือนให้เรากลับมาที่ตัวเองได้ตลอด เราจึงต้องหาระฆังในแบบของตัวเอง เช่น เสียงนกร้อง รถพยาบาล เมื่อได้ยินเสียง เราก็กลับมาอยู่กับลมหายใจของตัวเอง เมื่อเรามองเห็นดอกไม้ตรงหน้าเรา เห็นไฟแดง ก็เตือนเราได้ว่า เป็นเวลาที่เราจะกลับมาสู่ลมหายใจ เมื่อเราได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ก็ตามลมก่อนจะรับโทรศัพท์

ตระหนักรู้ถึงความเคลื่อนไหว ความคิด ความรู้สึกของเรา พลังการตระหนักรู้จะเข้มแข็งขึ้น และกลายเป็นความเคยชินแห่งความรู้แจ้ง เราทุกคนสามารถบ่มเพาะพลังนิสัยแห่งความรู้แจ้งได้

เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกๆ วัน ทุกๆ ขณะ ถ้าเรามีสติ เราไม่จำเป็นต้องตำหนิวิจารณ์ตัวเอง เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราไม่มีสติ เราก็มีสติแล้ว และเราก็มีโอกาสที่จะมีสติอีกครั้ง การฝึกของเขาเราก็จะอ่อนโยนนุ่มนวล พระพุทธองค์อยากให้เรามีความกรุณาต่อตัวเรา ไม่ลงโทษตัวเอง

ถ้าเราทำความผิดบางอย่างในอดีต เราจะไม่จมกับความผิด แต่หาทางทำใหม่ให้ดีขึ้น และอาจจะชดเชย 2 เท่าที่ได้ทำผิดไป เพื่อเอาชนะความยากลำบากของเรา ฝ่าฟันความรู้สึกผิดที่มีในอดีตของเรา เราทุกคนเป็นมนุษย์ ทุกคนเคยทำผิด ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแม้แต่พระพุทธองค์ เราจึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสมบูรณ์แบบในตัวเอง เราเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อความเข้าใจและรักมากขึ้น อาชีพของพระพุทธองค์คือความเข้าใจ เปิดหัวใจที่จะเรียนรู้

เปิดหัวใจให้พระพุทธองค์ในตัวเรา เปิดใจที่จะยอมรับความเป็นตัวเรา ทำทุกสิ่งอย่างมีสติและเป็นพระพุทธองค์ในทุกๆ ขณะ




สำหรับผู้ที่สนใจการปฏิบัติตามแนวทางของหมู่บ้านพลัมและฟังธรรมบรรยาย เราจัดกิจกรรมทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือนคี่ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (BIA) นะคะ ติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&view=article&id=201&Itemid=103

FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

นิทานเรื่องลิงกับเชือก

ลิงเก็บมะพร้าวตัวหนึ่ง ถูกเจ้าของใช้เชือกผูกเอาไว้
เพื่อไม่ให้มันหนีไปซุกซนที่ไหนไกลนัก

ลิงกับเชือกอยู่ด้วยกันนานๆ
ลิง...ก็ผูกพันกับเชือก
เชือก...ก็ผูกพันกับลิง

แต่ด้วยธรรมชาติของลิงที่รักอิสระ...
มันก็ไม่ชอบนักหรอก ที่เจ้าของล่ามมันไว้
มันพยายามที่วิ่งออกไปเล่นที่อื่น แต่เชือกก็รั้งมันไว้
ยิ่งมันพยายามดิ้นรนเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเจ็บตัวเท่านั้น
ลิงโกรธเชือก ที่เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้มันถูกจำกัด
มันพร่ำบอกเชือกว่า เลิกฉุดรั้งมันเสียที
มันเบื่อเต็มทน กับต้นมะพร้าวแถวนี้ มันอยากไปที่อื่นบ้าง
มีกิจกรรมอีกเยอะแยะที่มันต้องการทำ นอกจากปีนเก็บลูกพร้าวนั่น

แล้วเชือกล่ะ?

ยิ่งลิงพยายามวิ่งหนีเท่าไหร่ เชือกก็ยิ่งขึงตึง เหนี่ยวรั้งลิงมากขึ้นเรื่อยๆ
สร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเชือกเองไม่แพ้ลิงเช่นกัน
แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำตามหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์
เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรเป็น อย่างที่เจ้าของลิงต้องการ
เชือกเองก็โมโหลิง เลิกดิ้นรนเสียที ช่วยอยู่นิ่งๆ หน่อยได้ไหม ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน

มากไปกว่านั้น เชือกยังนึกโทษตัวเอง ว่าไม่น่าเกิดเป็นเชือกเลย
มันไม่ได้อยากพันธการลิงไว้แบบนี้ มันอยากเห็นลิงมีความสุข
และมันเจ็บปวดใจทุกครั้ง ที่เห็นลิงเป็นทุกข์ จากการผูกมัดของมันเอง

ลิงไม่ผิด ที่ลิงมีธรรมชาติแบบนั้น
เชือกก็ไม่ผิด ที่ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง

ถ้าคุณเป็นเชือก คุณจะทำอย่างไร?


(เครดิตภาพ: manager.co.th)
FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

เมื่อโลกภายในของฉัน frustrated

วันนี้เป็นวันที่โลกภายในสั่นสะเทือนมากที่สุดวันหนึ่ง

ตั้งใจว่าจะมา say hi เพื่อนที่มาจัดบูธที่โถงชั้น 1 หอศิลป์กรุงเทพฯ

ภาพรวมของงานที่จัด เป็นงานของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนา สร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงสังคม

อันที่จริง ความสั่นไหวของฉัน เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เข้างานด้วยซ้ำ!!

ฉันไม่แน่ใจนัก ว่าความสั่นไหวของฉันเกิดจากอะไรกันแน่ แต่มันรุนแรงมาก มันเป็นทุกครั้งที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าเราจะต้องเจอกับอะไร...

อีกส่วนหนึ่งคือ ถ้าไปแล้วจะทำตัวยังไง กลัวตัวเองเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของพื้นที่นั้น

อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเอง...มันอาจจะดีก็ได้นะ ที่เราก้าวเท้าออกมาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย การออกจาก comfort zone หรือพื้นที่เดิมในหลายๆ ครั้ง ก็สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับฉันไม่น้อย

พอไปถึง ความ frustated ของฉันกลับทวีความรุนแรงขึ้น

พื้นที่จัดงานค่อนข้างเล็ก ในพื้นที่แบ่งออกเป็นซุ้มๆ บรรยากาศคล้ายๆ กับการจัดงานของนักศึกษามหาลัยฯ

แต่คนมาดูงานแทบไม่มีเลย มันเงียบมาก จนฉันยิ่งเก้อเขินหนักกว่าเดิม ที่จะเข้าไปในพื้นที่นั้น

ฉันรีบมองหาคนรู้จัก แล้วเดินพุ่งเข้าไปทักทาย คนที่ฉันตั้งใจจะมาหายังมาไม่ถึงก็จริง แต่การได้พบปะพูดคุยกับคนที่เคยเห็นหน้าค่าตา ก็ลดความสั่นไหวลงไปได้ระดับนึง

ฉันโชคดีที่เจอพี่ที่รู้จักจากอีกซุ้มหนึ่ง เขาเลยเดินไปเป็นเพื่อนฉันไปดูจุดต่างๆ

เรื่องราวในงานนั้น มันดูห่างไกลจากตัวฉันมากเหลือเกิน ทุกอย่างถูกสื่อสารออกมาเพื่อให้คนตระหนัก รับรู้ และเปลี่ยนแปลงสังคม (สิ่งที่อยู่นอกตัว) ขณะที่ปกติฉันเป็นคนโฟกัสเกี่ยวกับโลกภายในและการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นหลัก

ฉันเพิ่งเข้าใจ (ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า) ถึงความต่างระหว่างคำว่า extrovert กับ introvert ก็วันนี้ และฉันก็เพิ่งรู้ตัวเองว่า ฉันเป็นคน introvert เอามากๆๆๆๆๆๆๆ มากถึงมากที่สุด!!

ลองนึกถึง energy แบบ NGO แล้วจะเข้าใจ...

(ไม่ได้บอกว่า energy แบบไหนดีหรือแย่กว่า แค่ใครอาจจะชอบหรือคุ้นเคยกับแบบไหนมากกว่าเท่านั้น)

และด้วยพื้นที่ที่เล็กมาก แล้วทุกบูธส่งพลังออกมาแบบนั้นในระดับเดียวกัน แม้จะเงียบมาก ไม่มีคน แต่มันกลับทำให้ฉันสับสน รู้สึกถึงพลุกพล่าน โฟกัสไม่ได้

นั่นยิ่งถ่างระยะห่างระหว่างฉันกับพื้นที่นี้มากขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกไม่ secure  และไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

และยิ่งฉันพยายามควบคุมตัวเองเท่าไหร่ ข้างในยิ่งสั่นไหวเท่านั้น การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ขาดๆ เกินๆ เรดาร์ที่เคยจับ energy ได้แม่นยำ ก็ดูเหมือนจะถูกขยายเกินความเป็นจริง

แม้แต่เรื่องที่ฉันเขียนไว้ด้านบนนี้ ก็อาจจะถูกขยายเกินความเป็นจริงก็เป็นได้!!

เมื่อเพื่อนฉันมาถึง ฉันทักทายเพื่อนฉันเพียงเล็กน้อย แล้วปลีกตัวไปดูงานศิลปะด้านบน ราวกับต้องการหนีไปจากพื้นที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด และเป็นกิจกรรมฉันที่ชอบทำมากกว่าในยามว่าง

มันไม่ใช่พื้นที่ของฉัน...นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจน ฉันไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน ยิ่งฉันนั่งเฉยๆ ในบูธของเขา โดยไม่ได้ทำอะไร ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน

อือม ใช่ ฉันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์น่ะ ฉันยังบอกน้องที่เฝ้าบูธเลยว่า ถ้าเป็นฉัน นั่งเฉยๆ แบบนี้ เบื่อตาย...

การได้ไปชมงานศิลปะ ตอกย้ำความเป็น introvert ของตัวฉันมากขึ้น ได้กลับมาอยู่กับตัวเองในบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างแท้จริง ปราศจากความวุ่นวาย มีเพียงฉันและงานศิลป์เท่านั้นที่สื่อสารกันผ่านสัญญะส่วนบุคคล

ลึกซึ้งซะไม่มี!! แม่คุณเอ๊ยยย

หลังจากเสพงานศิลปะจนพอใจ ฉันกลับมาที่บูธด้านล่างอีกครั้ง ฉันเห็นเพื่อนฉันพูดอยู่บนเวที

ฉันรีบถ่ายรูปเพื่อนฉันเก็บไว้ฝากเขาในภายหลัง แล้วหลบไปคุยกับน้องที่รู้จักที่กำลังพักกินข้าวอยู่หลังบูธ ซึ่งบังเอิญอยู่ข้างๆ เวทีพอดี

ข้างในฉันรู้สึกเขินมากๆ ถ้านั่งฟังอยู่ตรงนั้น (หน้าเวที)

นั่นสิ...ทำไมฉันต้องเขินขนาดนี้!!

อย่างหนึ่งที่ตอบได้ (จากการสันนิษฐาน) คือ ถ้าฉันรู้ล่วงหน้า มี plan มาก่อน ตั้งใจว่าจะมาฟัง อาการแบบนี้จะไม่เกิด

แต่ถ้าไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน และบังเอิญมาเจอแบบนี้โดยไม่คาดฝัน!! อืมมม ฉันก็จะเอาตัวไปยืนขอบๆ เวที แอบๆ แบบนี้แหละ เพราะฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของงาน

มันเก้อเขินที่จะต้องมองหน้าคนพูด และเก้อเขินที่ไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน

ถ่ายรูปหน้าตรงๆ ยังไม่กล้า ยังต้องแอบถ่ายข้างๆ เลย ^^"

กลับกัน ถ้าฉันเป็นคนยืนพูดบนเวที แล้วมีคนรู้จักมาฟังด้วย จากเดิมที่เก้อเขินอยู่แล้ว คงจะยิ่งประหม่ากว่าเดิม

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าฉันมั่นใจในตัวเอง กล้าแสดงออก แต่สำหรับฉัน The show must go on ก็เท่านั้น...

------------------------------------------------------

ฉันกลับมาถามตัวเองเรื่อง introvert-extrovert อีกครั้ง จริงหรอที่ฉันห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้...

ฉันเคยอยากอ่านหนังสือให้คนตาบอด อยากเรียนภาษาใบ้ อยากลงไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากเปลี่ยนแปลงเรื่องการศึกษา แต่ฉันยังไม่เคยลงมือทำ

ฉันเคยไปทำกิจกรรมที่บ้านพักคนชราถึง 2 ครั้ง ฉันมีความสุขเวลาที่ได้คุยกับคนแก่ๆ หรือเสิร์ฟอาหารให้ แน่นอน กว่าจะคุยได้ ฉันก็เก้อเขินอยู่นาน

วันเกิดโดม (เดอะสตาร์) โดมจัดคอนเสิร์ตการกุศลหาเงินข่วยสัตว์พิการ ฉันถือกล่องบริจาค ตะโกนอยู่หน้าเวทีหลายชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเหนื่อย และมีความสุขมากๆ

สรุปแล้ว สาเหตุของการ frustrated ของฉันอยู่ที่ไหน?

ฉันคิดว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเรามีเป้าหมายใหญ่แค่ไหน...

แต่จุดเล็กๆ มันอยู่ที่การได้ "ลงมือทำ" และรู้สึกว่าตัวเองเป็นประโยชน์กับคนอื่น

แต่...ถ้าเป็นการลงมือทำ แล้วฉันรู้สึกเก้ๆ กังๆ ไม่คล่องแคล่ว ฉันก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของคนอื่น ไม่มีความสามารถ ไม่เป็นประโยชน์ และทำให้ข้างใน fail และ frustrated มากเช่นกัน...ไม่ต่างจากการไม่ลงมือทำ

อีกประเด็นหนึ่งที่ล้อกัน ก็คือการได้มีส่วนร่วม มีบทบาท มีพื้นที่ ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม การไม่เป็นส่วนหนึ่ง การเป็นส่วนเกิน ไม่มีที่ให้ยืน มีผลต่อจิตใจฉันมากเช่นกัน...

อย่างตอนไปฟังปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ซึ่งเกี่ยวกับงานด้านการศึกษา ทั้งๆ ที่เป็นงานเชิงเปลี่ยนแปลงสังคมเช่นกัน แต่ฉันกลับรู้สึกประทับใจมากๆ และอยากศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น  อาจเป็นเพราะรูปแบบการจัดงานที่แตกต่าง และฉันรู้ตัวชัดเจน ว่าฉันไปในฐานะผู้ฟังบรรยาย

อือม ฉันว่า ฉันได้คำตอบละ...

ป.ล. พอมาอ่านทวนบทความอีกรอบ ประเด็นเรื่อง introvert-extrovert พอเอาศาสตร์ Voice Dialogue มาจับ ฉันสันนิษฐานว่า part ที่เป็น extrovert อาจจะเป็น disowned self ของฉันก็เป็นได้

ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจของฉันสงบขึ้นในระดับนึงเลยทีเดียว

นอนตาหลับละ คืนนี้ ^_^




Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โลกภายในในวันที่เกิด "อุบัติเหตุ" (2)

ในที่สุด เพื่อนของฉันก็ปรากฏตัว
ฉันเบาใจขึ้น ว่าเขาปลอดภัยดี จากการได้เห็นตัวเป็นๆ
แต่ก็อดตกใจไม่ได้ ที่เห็นเขานั่งรถวีลแชร์มา

ฉันถูกเข็นเข้าไปในห้องเอ็กซ์เรย์
และเข็นกลับมาที่ห้องฉุกเฉินตามเดิมเพื่อฟังผล
ผลเอ็กซเรย์ออกมา สรุปว่า แขนฉันหัก...

ฉันไม่ตกใจ ไม่ตื่นกลัว รับฟังผลด้วยใจที่สงบ (เฉยๆ) 
ตั้งแต่ที่แขนเริ่มชา มันก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว

ฉันนอนนิ่งอยู่สักพัก เพื่อนฉันก็เดินมาหา
เขาบอกว่า เขาดูฟิลม์แล้ว กระดูกฉันหักตรงๆ ไม่ต้องกังวล
ณ ตอนนั้น ฉันไม่สนใจ ว่ามันจะหักแบบไหน
หัก ก็คือหัก หักแล้วก็ต้องซ่อม ไม่ว่าจะหักรูปแบบไหนก็ตาม
และฉันก็จะต้องกลับมาหายดี

จะกังวลเพียงนิดเดียว ที่จะต้องบอกที่บ้าน
ถ้าเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากให้ที่บ้านรู้หรอก เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ 

ส่วนเพื่อนของฉัน ก็ถูกจับเข้าห้องเอ็กซเรย์เหมือนกัน
เขาบอกว่า แขนเขาไม่เป็นอะไร

(อันที่จริง ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันนี้เองว่า
จริงๆ ศอกเขาเคลื่อน!!
แต่เคลื่อนไม่มาก และอาศัยความที่เขาเป็นหมอ
เขาเลยจัดการตัวเองจนหายได้

ตอนที่รู้ครั้งแรก ฉันแทบจะเป็นลม...
อยากจะเอาเล็บข่วนหน้าเสียจริงๆ ทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้น!!!!!)

หลังจากนั้น พยาบาลก็เดินเข้ามา เพื่อเจาะเข็มน้ำเกลือ เพื่อจะได้ให้ยาแก้ปวดทางเส้นได้
เขาพยายามถึง ครั้ง ก็ยังไม่ได้ จนต้องเรียกพยาบาลคนอื่นมาช่วย
ฉันขอร้องเขา ว่าอย่าพยายามอีกเลย แผลที่แขน ฉันทนได้
(ทนได้จริงๆ นะ)

เมื่อครั้งที่ พยาบาลยังทำไม่สำเร็จอีก
ฉันร้องไห้ และขอร้องให้พวกเขาหยุด
ความรู้สึกของฉัน มันเหมือนคนที่ถูกทำร้ายซ้ำๆ แต่ทำอะไรไม่ได้
ถ้าใครมาเห็นแขนซ้ายของฉันตอนนี้ จะเห็นรอยช้ำเต็มไปหมด
มันไม่ได้เกิดจากมอเตอร์ไซค์ล้ม แต่มันเกิดจากรอยเข็มล้วนๆ

ไม่ร้องไห้เพราะแขนหัก แต่ร้องไห้เพราะเข็ม
ชีวิต.............

พยาบาลปล่อยให้ฉันได้พัก เพื่อที่จะกลับมาลองใหม่
ฉันร้องขอพบเพื่อนของฉัน
เมื่อเขามาถึง ฉันร้องไห้ไม่หยุดอย่างคนขวัญเสีย จับมือเขาไว้แน่น
ระบายความเจ็บปวดทุกข์ทน รวมถึงคำขอร้องว่าอย่าทิ้งฉันไปไหน ผ่านสัมผัสมือนั้น

เพื่อนของฉันใช้อีกมือหนึ่งแตะที่แขนฉัน และขอให้ฉันดึงความเข้มแข็งขึ้นมา
ในภายหลัง ฉันถามเขากลับว่า ที่ผ่านมา เธอเคยเห็นฉันไม่เข้มแข็งหรอ
เพื่อนฉันตอบว่า เขาเห็นฉันเข้มแข็งมาตลอด
ฉันจึงบอกเขาว่า ใช่ ที่ผ่านมา ฉันเข้มแข็งมาตลอด
แต่ก็มีบางเวลาที่ฉันอยากจะอ่อนแอบ้าง...

เขาอยู่กับเสียงสะอื้นของฉันสักพักใหญ่
แล้วเดินออกไป โดยไม่บอกกล่าวอะไร
น้ำตาของฉันไหลออกมาเงียบๆ
เวลาที่เขาเดินจากไป โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแบบนี้
มันทำให้ฉันกลัวเสมอ

ทุกครั้งที่ความหวาดกลัวว่าจะถูกทิ้งขึ้นมา
แม้หัวจะบอกได้ว่า ยังไงๆ เขาก็ต้องกลับมา
เขาไม่มีทางทิ้งฉันไปไหนอย่างแน่นอน
แต่โลกทัศน์แบบลักษณ์ ก็ยังคงทำงานอย่างซื่อสัตย์
มันขึ้นกับ ณ ตอนนั้น ว่าฉันจะ handle มันได้มากน้อยแค่ไหน
ยิ่งสภาวะร่างกายที่อ่อนแอลง ทุกอย่างมันดูเหมือนจะจัดการยากขึ้นเรื่อยๆ

เขาเดินกลับมาอีกครั้ง พร้อมบอกว่าคุยกับพยาบาลให้แล้ว
สรุปว่า จะให้กินยาแก้ปวดเท่านั้น ไม่เจาะสายน้ำเกลืออีก
นั่นทำให้ฉันโล่งใจราวกับออกจากขุมนรก
เพื่อนของฉันไปหาทิชชู่มาซับน้ำตาให้กับฉัน
ในใจฉันรู้สึกขอบคุณเขาเหลือแสน

ฉันเลือกที่จะแอดมิดที่นี่ คืน ไม่กลับบ้าน
เหตุผลทั้งเรื่องการเดินทาง และสภาพร่างกายที่เป็นอยู่
ฉันไม่อยากเสี่ยง...

เมื่อถึงห้องพัก สิ่งที่แรกที่ฉันทำคือ โทรหาพี่นะพี่จ๊ะ
เพื่อแจ้งข่าวคราวรวมถึงคุยเรื่องงานวันรุ่งขึ้น
ว่าฉันไปกาญจนบุรีไม่ได้อีกแล้ว
แต่พยายามโทรเท่าไหร่ ก็ไม่สำเร็จ!!

ฉันเป็นห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเองเสียอีก
เพราะสำหรับฉัน...มันคือความรับผิดชอบ!!

จนถึงเที่ยงคืน ฉันถึงเลิกพยายาม
แต่ฉันกับเพื่อนก็ยังไม่หลับไม่นอน
พวกเราถอดบทเรียนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
แลกเปลี่ยนความคิดและเรียนรู้ร่วมกัน
เกี่ยวกับโลกภายในของตัวเอง และของอีกฝ่าย
ซึ่งนั่นทำให้ฉันมีความสุขมาก <3

ที่ฉันเขียนทั้งหมด มาจนถึงตอนนี้
แม้จะมีซีนอารมณ์เยอะ เพราะฉันนำโลกภายในออกมาตีแผ่บนหน้ากระดาษ
แต่ในความเป็นจริง สภาพจิตใจตอนนั้นของฉันดีมากๆ
ดูแลการทำงานของลักษณ์โดยรวมได้ดีที่เดียว

สำหรับฉัน เหตุการณ์ครั้งนี้ มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่เลวร้ายอะไรเลย
มันคือ "ประสบการณ์" ครั้งหนึ่งในชีวิต และเป็นประสบการณ์ที่ดี ^^

**บทสรุปของเรื่องนี้ในตอนเช้า**

1. พี่นะพี่จ๊ะโทรกลับมา เฉลยว่าพี่เขาลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ
สุดท้าย พี่นะก็ต้องบินเดี่ยว โดยไร้ผู้ช่วยทั้ง 2 คน
แต่ด้วยประสบการณ์ของพี่นะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี (อยู่แล้ว)

2. ฉันโทรบอกที่บ้านให้ทราบ
พ่อฉันส่งตัวฉันไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
และผ่าตัดในคืนนั้น

สุดท้ายนี้ อยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กัน ทั้งทางเฟสบุ๊ค และทางไลน์นะคะ
ขอบคุณทุกๆ คนที่มาเยี่ยม พี่นุช พี่เบ๋ง จุ๋ม
โดยเฉพาะพี่ปุ๊ย ที่เป็นกระบอกเสียงให้ด้วย รู้กันทั้งวงการนพลักษณ์เลยทีเดียว 5555555

แน่นอนว่า ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ "เพื่อนของฉัน"
สำหรับฉัน เขาไม่ใช่แค่เพื่อน เขาเป็นน้อง เป็นหมอประจำตัว
เป็นโค้ช เป็นกระบวนกรรุ่นพี่
เป็นสารพัดสารเพอีรุงตุงนังสำหรับฉัน 555555555
เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ฉัน close และ trust ที่สุด!!
ขอบคุณทุกความผูกพันที่มี ขอบคุณทุกความใส่ใจที่ให้
ขอบคุณทุกเหตุปัจจัย ทุกความงดงามที่เกิดขึ้น
ที่ทำให้เราเรียนรู้หลายอย่างร่วมกัน
ตั้งแต่รู้จักกันมา จนถึงตอนนี้

ขอบคุณที่เป็นเธอในคืนนั้น
ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
ที่เธอเคยถาม ว่าฉันโกรธเธอไหม
จนถึงวันนี้ ฉันก็ยังตอบเหมือนเดิม ว่าฉันไม่เคยโกรธเธอเลย

และขอโทษด้วย ถ้าฉันทำบางสิ่งบางอย่างให้เธอรู้สึกอึดอัด
ถึงเธอจะยินดีที่จะทำให้ แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้...จริงๆ...

สุดท้าย...สิ่งที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ
ฉันดีใจที่มีเธอนะ...คุณหมอผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ^_^
(https://www.youtube.com/watch?v=aL368g3QywQ)


ตุ้มหูดอกรักที่เหลือเพียงข้างเดียว หลังเกิดอุบัติเหตุ
คืนนั้น เพื่อนของฉัน อุตส่าห์จะขับรถออกไปหามาคืนให้
ฉันบอกว่า "ไม่ต้องหรอก" จะบ้าหรอ ใครจะยอมปล่อยให้ออกไปเสี่ยง

ตุ้มหูคู่นี้สำคัญ แต่คนข้างหน้าสำคัญสำหรับฉันมากกว่า...
สิ่งนี้จึงกลายเป็นตัวแทนของความประทับใจ และความทรงจำที่สวยงาม...


Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โลกภายในในวันที่เกิด "อุบัติเหตุ" (1)

เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ ก.พ. เวลาประมาณ 21.00 น....

วันนั้นหลังจากที่คุยเรื่องการฝึกโค้ชเสร็จจากบ้านพี่นะพี่จ๊ะแถวศาลายา
ฉันก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อน เพื่อกลับบ้านไปนอนค้างที่บ้านของเขาแถวเพชรเกษม
วันรุ่งขึ้นเราจะไปเป็นผู้ช่วยกระบวนกรให้กับพี่นะ
โดยจะไปทำกระบวนการให้กับชาวพม่าที่กาญจนบุรีกัน

ระหว่างทาง อากาศเย็นสบาย
ลมเย็นๆ ประทะเข้าที่ใบหน้าฉัน
ฉันเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ถ้าตอนนี้มีดวงดาวเต็มท้องฟ้า ก็คงจะดี
ส่วนเพื่อนของฉัน เขาก็ฝันว่าอยากจะขี่บิ๊กไบค์ที่เขาใหญ่
มันเป็นบรรยากาศที่ชิลๆ และมีความสุขมากจริงๆ

จู่ๆ ฉันรู้สึกได้ว่ารถเสียการทรงตัว
รู้ตัวอีกที คือหัวฟาดพื้น!! แล้วมอเตอร์ไซค์ทับขาฉันอยู่!!

ณ ตอนนั้นฉันเข้าใจเลยว่า
ความตาย...มันก็เป็นเรื่องแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเดียว
และมันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย...

ฉันได้แต่นอนมองท้องฟ้าที่ไม่มีดาวอยู่ตรงนั้น
อันที่จริง ฉันมองอะไรไม่เห็นหรอก เพราะแว่นฉันแตก
เพื่อนของฉันอยู่ไหน ฉันก็ไม่แน่ใจนัก
รู้แต่ว่ามีใครก็ไม่รู้มามะรุมมะตุ้มกันเต็มไปหมด

ฉันขอให้พวกเขาช่วยยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นจากตัวฉัน
พอฉันลุกขึ้นได้ ฉันรู้สึกมึนหัวไปหมด
โชคดีที่สวมหมวกกันน็อค

 ณ ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า มันก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีนะ
ไม่ได้รู้สึกกลัว หรือเสียขวัญอะไร

ฉันหันไปขอบคุณกลุ่มคนที่มาช่วยฉัน
เพื่อนของฉันพาฉันเข้าข้างทาง 
เราต่างไต่ถามอีกฝ่าย ว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

วันนั้นจริงๆ มีโชคดีอยู่อย่างน้อย อย่าง
1. ฉันไม่ได้นุ่งซิ่น ฉันใส่กางเกง และนั่งคร่อม
2. เพื่อนของฉัน...เป็นหมอ!!

น่าแปลกมาก ที่ขาฉัน (ซึ่งโดนมอเตอร์ไซค์ทับ) แทบไม่เป็นอะไรเลย
นอกจากแผลถลอก และรอยฟกช้ำนิดหน่อย
แต่ส่วนที่เจ็บที่สุด กลับเป็น "แขน"

เพื่อนฉันพยายามเช็กแขนฉัน ว่าหักหรือไม่
เขาถามฉันว่า รู้สึกชาหรือเปล่า ฉันตอบว่า "ไม่"

แต่อีกสักพักเท่านั้น ความชาก็ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับเป็นลางบอกเหตุ...

เพื่อนของฉันเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนเกิดเหตุมีกระบะมาปาดหน้า
เฉี่ยวโดนรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถเสียหลักล้มลง
กระจกข้างขวาเบี้ยว เบรกที่เท้าพัง

ตอนแรกฉันนึกว่า คนที่มาช่วยฉัน คือเจ้าของกระบะคันนั้น
แต่ความจริง คู่กรณีของฉันจอดรถแอบมองดูอยู่ห่างๆ ซึ่งฉันมองไม่เห็น
เพื่อนของฉันบอกให้ฉันรออยู่ที่มอเตอร์ไซค์
ส่วนตัวเขาเอง ก็เดินไปหาคู่กรณีที่ยังยืนรออยู่

ฉันรออยู่ที่มอเตอร์ไซค์ของเพื่อนอย่างหวั่นๆ
สักพักใหญ่ เพื่อนฉันเดินกลับมาตัวเปล่า

กระบะคันนั้น พอเห็นเพื่อนของฉัน ก็ขับหนีไปทันที

ฉันเจ็บแขนจนเริ่มจะทนไม่ไหวและขยับแขนไม่ได้อีกต่อไป
เพื่อนของฉันลงความเห็นว่า ต้องพาฉันไปโรงพยาบาล
(ซึ่งฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง 555)
แต่ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์เขาไม่ไหวอีกแล้ว (เพราะเจ็บมาก)

แล้วจะทำอย่างไรกับมอเตอร์ไซค์ดี?

เราโชคดีอีกเช่นเคย มีชายหนุ่มหญิงสาวอีกคู่หนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา
พวกเขาแวะจอดถามไถ่เรา ว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือไหม
เพื่อนของฉันขอให้เขายกมอเตอร์ไซค์ขึ้นฟุตบาธให้
และถามถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
(ซึ่งตอนนั้นคือ โรงพยาบาลธนบุรี 2
แต่ต้องไปกลับรถไกลมากๆ)

เมื่อพวกเขาขับมอเตอร์ไซค์จากไป
ก็เหลือเพียงเราสองคน ที่ยืนนิ่งกันอยู่ตรงนั้น
คิดหาทางว่า จะทำอย่างไรกันต่อไป...

ฉันเสนอว่าให้โทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่นะพี่จ๊ะ ซึ่งน่าจะอยู่ใกล้ที่สุด
แต่โชคร้าย ที่ไม่ว่าจะโทรหาเท่าไหร่ ก็โทรหาไม่ติดเลย

เวลานั้น ไม่รู้เป็นเพราะฉันเจ็บแขนมาก หรือเป็นเพราะฉันเป็นศูนย์ใจก็ไม่รู้
ในหัวของฉันว่างเปล่า มีแต่ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้อวลๆ อยู่ข้างใน
ส่วนหนึ่งเพราะกังวลเรื่องแขนของตัวเองด้วย
และใจนั้นก็อยากจะพาตัวเองไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนของฉัน ด้วยสายตาที่วิงวอนบางอย่างและขอความเห็น
โดยไม่เอ่ยคำพูดอะไรออกมา แม้แต่คำเดียว
ในใจได้แต่บอกตัวเองให้ “อดทน อดทน อดทน” กับความเจ็บตลอดเวลา
ชีวิตฉันผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะ ยังผ่านมาได้ ครั้งนี้ก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน

อีกอย่าง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งพร่ำบ่นหรือคร่ำครวญหรืออะไร
นั่นจะเป็นการรบกวนสมาธิ และทำให้เพื่อนของฉันกังวลใจเปล่าๆ

ในความนิ่งของเพื่อนฉัน เขากำลังใช้ความคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เพื่อหาทางออก ตามสไตล์ศูนย์หัว (T7)
แม้เขาจะมีบาดแผลหลายจุด แขนซ้ายยอก เสื้อผ้ามีรอยฉีกขาด
แต่ฉันก็รับรู้ได้ ว่าขณะนั้น เขาดำรงไว้ซึ่งความมี “สติ” อย่างแท้จริง
และมีความเป็น “ผู้นำ” อยู่ในตัว

นั่น...ทำให้ฉันมอบความเชื่อใจและความไว้วางใจทั้งหมดให้กับเขา

เขาเอาเสื้อกันหนาวของฉัน มาทำเป็นผ้าคล้องแขนให้กับฉัน
และตัดสินใจจะลองขับรถไปดูตรงพื้นที่ที่เขาเตรียมจะทำเป็นตลาดนัดข้างหน้า
ดูว่าพอจะฝากรถไว้ได้หรือไม่
แล้วให้ฉันค่อยๆ เดินตามไป

ฉันตกลงอย่างว่าง่าย
แต่ก็ขอร้องให้เขาขับรถช้าๆ หน่อย เพราะตาของฉันมองไม่เห็น
(ฉันสายตาสั้นประมาณ 500)

เมื่อเพื่อนของฉันขับรถล่วงหน้าไปบนฟุตบาธ (เพราะมันสวนเลนปกติ)
สิ่งที่ฉันมองเห็น มีเพียงแต่ดวงไฟสีแดง จากท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขา
ฉันเดินช้าๆ คอยจดจ้องดวงไฟสีแดง ราวกับกลัวว่ามันจะหายไป
อันที่จริง ฉันก็กลัวจริงๆ นั่นแหละ และยิ่งรู้สึกมากขึ้น เมื่อดวงไฟนั้นดูห่างออกไปเรื่อยๆ
ความเป็นลักษณ์ ของฉันทำงาน บวกกับตาที่มองไม่เห็น
ฉันได้แต่เตือนตัวเองว่า “อย่าดราม่าๆๆ”

เมื่อไฟสีแดงนั้นดับลง ฉันรีบเดินให้เร็วขึ้นเท่าที่สภาพจะทำได้
ฉันจะสงบเสียงของลักษณ์ในหัวฉันได้ ต่อเมื่อพาตัวเองไปเห็นของจริง...

ภาพที่ฉันเห็นคือ เพื่อนของฉันกำลังคุยกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง
สรุปใจความสำคัญก็คือ เขาแนะนำให้เพื่อนของฉัน ขับรถไปฝากไว้ที่ปั๊ม ปตท.
แล้วเดินข้ามสะพานลอย ไปโรงพยาบาลธนบุรี 2
และผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้น อาสาจะขับรถ (เก๋ง) พาฉันไปส่งโรงพยาบาล

เพื่อนหันมาถามฉัน ว่าฉันโอเคไหม
แม้ลึกๆ ฉันจะรู้ว่า มันไม่มีอะไร ทุกอย่างจะโอเค ไม่มีปัญหา
แต่มันก็อดกลัวไม่ได้...

ผู้หญิงคนหนึ่ง สภาพบาดเจ็บที่แขนจนขยับไม่ได้
ตามองไม่เห็น ต้องนั่งรถไปกับผู้ชายแปลกหน้าร่างใหญ่
ความกลัวที่เกิดขึ้น จึงถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

และการต้องอยู่ห่างจากมิตรในยามยากเช่นนี้
แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาหนึ่งก็ตาม แต่ฉันก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย

เพื่อนของฉันปลอบฉันให้ไม่ต้องกลัว
เขาจะจำทะเบียนรถเอาไว้ให้
และถ้าใครถึงโรงพยาบาลก่อน จะโทรหาอีกคนทันที

ฉันขึ้นรถของชายแปลกหน้าคนนั้นมา
ในมือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เพื่อความปลอดภัย และเผื่อกรณีฉุกเฉิน
แต่ไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อชายแปลกหน้าเริ่มชวนฉันพูดคุยสัพเพเหระ

ฉันเป็นฝ่ายมาถึงโรงพยาบาลธนบุรี ก่อน
ฉันขอบคุณคนที่มาส่งฉันอย่างจริงใจและสำนึกคุณ
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนมาถึงตอนนี้ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
ยังมีคนไทยดีๆ มีน้ำใจอยู่อีกมากมาย
สังคมไทยยังไม่สิ้นหวัง!!

ฉันโทรศัพท์หาเพื่อนของฉันทันที เขาบอกว่าเขากำลังมา
ระหว่างที่นอนให้พยาบาลทำแผลให้บนเตียงในห้องฉุกเฉิน
แม้จะแสบแผลมากจนต้องสวดภาวนาถึงพระเจ้าอยู่ในใจ
แต่ตาที่พร่ามัวของฉัน ก็คอยมองไปที่ทางเข้าห้องฉุกเฉินตลอดเวลา

ภายในของฉันทั้งรู้สึกโดดเดี่ยว หวาดกลัว และเป็นห่วง
เขาจะไหวไหม เขาจะโอเคไหม ระหว่างทางเขาจะปลอดภัยไหม
ถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ ถ้าเขาทิ้งฉันล่ะ
สารพัดที่ความเป็นลักษณ์มันจะปรุงแต่ง จนจิตใจหาความสงบไม่ได้
แม้สมองจะบอกว่า เขาจะมาอย่างแน่นอนก็ตาม

ฉันไม่รู้หรอกว่าเวลามันผ่านล่วงเลยไปกี่นาที
แท้จริงมันอาจจะสั้นกว่าที่ฉันคิด
แต่มันเป็นการรอคอยครั้งที่ทรมานที่สุดในชีวิตฉันก็ว่าได้
ใจจะขาด................

(อ่านต่อพรุ่งนี้)

สภาพแว่นตาที่สวมขณะเกิดเหต
(ขอบคุณพี่ปุ๊ย เจ้าของภาพค่ะ ^^)

Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785