วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตามหา Passion กับงานที่รัก (1)

ห่างหายจากหน้า blog ไปนาน เพราะไปตามหาสิ่งๆ หนึ่ง
ไปตามหา Passion ในการทำงาน!!
มันสำคัญขนาดนั้เลยหรอ ไอ้ Passion เนี่ย!!

ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสดูหนังสารคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าใครมีโอกาสก็อยากให้ได้ดูกัน...

หนังเรื่องนั้นคือ Jiro Dreams of Sushi (จิโร่ เทพเจ้าซูชิ) เป็นเรื่องราวของจิโร่ โอโนะ วัยเกือบ 90 กับร้านซูชิเล็กๆ ขนาด 8-10 ที่นั่งใต้สถานีรถไฟใต้ดิน Ginza แต่เป็นร้านซูชิร้านแรกที่ได้รับเรท 3 ดาวจาก Michelin Guide!! และตัวจิโร่เองก็ได้รับยกย่องให้เป็น National Treasure จากรัฐบาลญี่ปุ่น!!

แค่ประโยคขึ้นต้นของเรื่อง ก็ทำเอาคนฟังสะอึก!!
"เมื่อเราตัดสินใจว่าจะทำอาชีพอะไร เราก็ต้องอุทิศตัวให้กับมัน เราต้องรักงานที่เราทำ แล้วเราจะทำมันได้ดี เราต้องไม่บ่นงานที่เราทำ ถ้าบ่นก็คือเรายังรักมันไม่พอ เราต้องอุทิศชีวิตเพื่อพัฒนาฝีมือ มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้น นั่นแหละคือเคล็ดลับความสำเร็จ มั่นง่ายๆ แค่นั้น และเป็นกุญแจสู่การได้รับการยอมรับอย่างที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้"
ตลอด 1 ชั่วโมง 22 นาที  หนังได้แสดงให้เห็นถึงความรักในงานและความทุ่มเทให้กับซูชิของจิโร่...
"เราไม่สนเรื่องเงินหรอก เงินทองเป็นเรื่องรอง... 
ผมสนแค่ว่า เราจะทำซูชิให้ดีขึ้นยังไง ผมทำในสิ่งเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด ผมอยากจะทำให้ได้มากกว่านี้อยู่เสมอ ผมจะปีนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ถึงยอด แต่ไม่มีใครรู้ว่ายอดอยู่ที่ไหน... 
ถึงผมจะทำงานมาหลายสิบปี ผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ผมทำสมบูรณ์แบบแล้ว... 
ผมรู้สึกมีความสุขตลอดทั้งวัน ผมชอบทำซูชิ นั่นคือจิตวิณญาณของโชกุนิน.. 
จะเลิกทำเมื่อไหร่น่ะหรอ กับงานที่ทุ่มเทมาก หนักขนาดนี้น่ะหรอ ผมไม่เคยเกลียดงานนี้เลยแม้แต่สักครั้ง ผมบอกได้ว่าผมรักในงานของผมและทุ่มเทชีวิตของผมให้กับงานนี้อย่างเต็มที่จริงๆ แม้ว่าผมจะอายุ 85 แล้วก็ตาม ผมไม่รู้สึกอยากเกษียณตัวเองเลยสักครั้ง ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมจะทำไปเรื่อยๆ..."
ไม่แปลกใจว่าทำไมจิโร่ถึงได้ประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนรักในสิ่งที่ตนทำ มีเป้าหมายชัดเจน
และเขารู้ว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไร!!

เมื่อดูหนังจบ เท็นถึงกับกลับมาทบทวนตัวเอง...
เรารักสิ่งที่เราทำแบบที่จิโร่รักหรือเปล่า...
แล้วงานอะไรที่เราอยู่กับมันได้ทุกวันโดยไม่มีวันเบื่อ...


ภารกิจการตามหา Passion ของเท็นจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามได้ในบทความฉบับหน้านะคะ ^_^

ป.ล. ถ้าดูหนังเรื่องนี้แล้วหิว ก็อย่าว่ากันน้าาาา >..<

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันนี้คุณส่องกระจกหรือยัง

เมื่ออาทิตย์ก่อนนู้นได้มีโอกาสไปร่วมมิสซารอบ 10.00 น. ที่วัดเซนต์หลุยส์
คุณพ่อที่ทำพิธีในวันนี้เท็นไม่รู้จัก (พยายามหาชื่อก็ไม่เจอ ขออภัยจริงๆ ค่ะ ^^")
แต่ประทับใจที่ท่านเทศน์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สนุกร่าเริงแฝงอารมณ์ขัน

คำพูดของคุณพ่อที่เท็นประทับใจเป็นพิเศษ มีอยู่ว่า...
แต่ละวันที่คุณตื่นขึ้นมา คุณส่องกระจกกันบ้างหรือเปล่า?

บางคนบอกว่าไม่ค่อยชอบส่อง เพราะรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ น่าเกลียด สวยสู้อั้ม พัชราภาไม่ได้!!

คุณพ่อบอกว่า คิดแบบนี้เท่ากับดูถูกสิ่งที่พระเจ้าให้มา
เพราะพระเป็นเจ้าได้ทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา
ฉะนั้น เราจึงเป็นสิ่งที่สวยที่สุด ดีที่สุด และน่าภาคภูมิใจที่สุดในสายตาของพระองค์


และไม่ว่าตอนนี้เราจะเป็นยังไง พระองค์ก็ทรงรักเราในแบบที่เราเป็น...
ไม่เชื่อ...ลองถามพ่อแม่ของเราดูสิ...
ลูกจะดี ชั่ว สำเร็จ ล้มเหลว พ่อแม่ก็ยังคงรักและเห็นลูกเป็นสิ่งที่มีค่าเสมอ...

ดังนั้น...จงรักตัวเอง และภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น

เคล็ดลับการส่องกระจก ยิ่งส่อง ยิ่งสวย
(โดยคุณเปรม นุวัติวงศ์ ประเสริฐสังข์ นักชำนาญการปรับระบบความคิดและจิตใต้สำนึก)

ตื่นเช้ามา ส่องกระจก มองตาตัวเอง ยิ้มค้างไว้ 20 วินาที
ชื่นชมความน่ารักและสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในตัวเอง...
แล้วบอกกับตัวเองว่า "วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของฉัน"
ทำติดต่อกัน 21 วัน แล้วมาดูซิว่า...

การเริ่มต้นวันที่ดีด้วยการ "คิดบวก" จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปอย่างไร  :)

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความในใจของผู้หญิง ที่ผู้ชายอาจไม่รู้ (2)

ความเดิมจากตอนที่แล้ว [ความในใจของผู้หญิง ที่ผู้ชายอาจไม่รู้ (1)]

"ดี้" กับ "ฟิน" หนึ่งในคู่พระนางจากเรื่อง วาเลนไทน์ สวีทตี้ ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เนื่องจากฝ่ายชาย (ฟิน) น้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองมีฐานะด้อยกว่าฝ่ายหญิง (ดี้) จึงสาละวนไปกับการหาเงินให้ได้มากๆ เพื่อจะได้ดูแลฝ่ายหญิงได้ดี ในขณะที่ฝ่ายหญิงต้องการการแสดงความรักจากฝ่ายชายมากกว่านี้ และรู้สึกว่าการมัวแต่หาเงินของฝ่ายชายได้พรากเอาสิ่งเหล่านี้ไปจากเธอ...

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่เกิดขึ้นกับหลายๆ ครอบครัว
แต่ถามว่ามีใครผิดไหม คำตอบคือ "ไม่มีคนผิด"
ผู้ชายก็แค่คิดคว่า "เงิน" และ "ความสำเร็จ" จะทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น คนรักมีความสุขมากขึ้น 

แต่...ผู้หญิงไม่ได้คิดแบบนั้น!!
แล้วอะไรล่ะ...ที่จริงๆ แล้ว ผู้หญิงต้องการจากผู้ชาย?


เรารู้ว่า ผู้ชายอยากเป็นวีรบุรุษในสายตาของผู้หญิง...
แต่คำว่า "วีรบุรุษ" ของผู้หญิง มีความหมายเหมือนกับของผู้ชายหรือเปล่า??

สิ่งหนึ่งที่ผู้ชายหลายๆ คนอาจไม่รู้คือ "เงิน" กับ "ความสำเร็จ" ที่มากขึ้นของผู้ชายไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าแฟนคุณจะรักคุณมากขึ้น ขณะเดียวกัน หากคุณมีสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น แต่เอาใจใส่แฟนคุณน้อยลง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณจะเสียเธอไป...

ดังนั้น ผู้ชายที่แสดงออกว่ารักเธอ เอาใจใส่เธอ เป็นห่วงเธอ เข้าอกเข้าใจเธอ ดูแลปกป้องเธอ ให้กำลังใจเธอ และทำให้เธอรู้สึกว่าเธอคือ "คนสำคัญ" ของเขา... นี่แหละ "วีรบุรุษ" ตัวจริงของสาวๆ >..<

ยกตัวอย่างในหนังเรื่อง วาเลนไทน์ สวีทตี้ ตอนที่ดี้กับฟินทะเลาะกัน ดี้บอกฟินว่า ตั้งแต่แต่งงานกันมา ดี้ชอบฟินตอนนอนที่สุด เพราะเป็นเวลาเดียวที่ดี้รู้สึกว่าฟินกับดี้เป็นคู่รักกัน!! ไม่ว่าจะเป็นตอนนอนกอดกันแล้วฟินเป็นเหน็บ หรือตอนที่ดี้งอนฟิน นอนหันหลังให้ ฟินเลยต้องเอาขาก่ายตูดดี้ ไม่งั้นฟินนอนไม่หลับ!!

ทั้งหมดที่ผู้หญิงต้องการจากคนที่เธอรัก มันก็มีแค่นี้เอ๊งงงงงงง
เหมือนที่ฟินบอกดี้ในตอนท้ายของเรื่องแหละว่า...
"ไม่ต้องใช้เงินก็ดูแลดี้ได้"

เป็นไง!! ดูแลผู้หญิงสักคน ง่ายกว่าที่พวกคุณคิดเยอะเลย (ใช่มะ) >..<


วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความในใจของผู้หญิง ที่ผู้ชายอาจไม่รู้ (1)

เมื่ออาทิตย์ก่อนนู้นมีพี่คนหนึ่งแนะนำให้เท็นดูหนังเรื่อง วาเลนไทน์ สวีทตี้ 
ซึ่งคู่ที่เท็นโฟกัสเป็นพิเศษคือคู่ของ "ฟิน" (บีม กวี) กับ "ดี้" (วีเจจ๋า)

ใครจะรู้ว่า...หนังตลกก็ทำเรา "ร้องไห้" ได้...

[ต่อไปนี้เป็นการสปอยล์ (ได้ข่าวว่าฉายจนออกไปเป็นปีแล้วนะ :P)]

เมื่อ "ฟิน" หนุ่มเจ้าของร้านกาแฟผู้ซีเรียสกับทุกสิ่ง จัดงานแต่งงานกับ "ดี้" แพทย์หญิงผู้มีอารมณ์ขันกับทุกเรื่อง เธอทั้งสวยและรวยมากๆๆๆๆ ในงานพ่อตาได้ให้ของขวัญคู่บ่าวสาวเป็นเงินในบัญชี 1 ล้านบาท!! พร้อมกับท้าทายฟินว่า ถ้าอยากจะดูแลลูกสาวของพ่อให้ดี ให้หาเงินในบัญชีมาให้เท่ากัน!!

งานนี้ฟินถึงกับของขึ้น!! เขาเอาจริงเอาจังกับเป้าหมายจนไม่สนใจอย่างอื่นแม้แต่ความรู้สึกของดี้ ฟินอยากเป็นผู้นำที่ดี หาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อจะได้ดูแลดี้ได้ (และลบคำสบประมาทของพ่อตา) พอเครียดมากๆ ก็พาลหงุดหงิดใส่ดี้ เห็นดี้ทำอะไรก็ขวางหูขวางตา ผิดไปหมดเสียทุกอย่าง ดี้กลายเป็นคนระมัดระวังตัวเอง และเสียความเป็นตัวเองไปเมื่ออยู่กับฟิน

จนมาวันหนึ่ง ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ฟินอาละวาดถึงปมด้อยของตัวเองที่เกิดมามีฐานะด้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่ดี้เริ่มมีปากเสียง...
"ฟินจะให้ดี้ทำยังไง มีแต่ฟินคนเดียวที่กระเสือกกระสนที่จะลำบากลำบนไปกับการหาเงินล้านนึงนั้นน่ะ" 
"ใช่ดิ สำหรับคุณมันคงไม่ยากหรอก เพราะว่าคุณน่ะ ไม่ได้เป็นแฟนจนๆ แบบผมนี่ คุณเป็นหมอ คุณรายได้ดี ผมจะไปสู้คุณได้ไง"
"สู้หรอ เราเป็นคู่รักเราไม่ใช่คู่แข่งนะฟิน คุณชอบแข่งขันอะ...
"แต่ถ้าเกิดคุณอยากแข่งขัน เราจะบอกให้ว่าเรามีเงินเก็บอีก 8 ล้านบาท!! กับเงินที่พ่อเราให้มาอีก 1 ล้านบาทเป็น 9 ล้านบาท!! คุณมีแค่ 9 แสน คุณจะแข่งกับเราไหวหรอ... 
"เราเคยคิดนะ ว่าถ้าเกิดว่าเรามีลูกด้วยกัน ลูกเราคงจะโชคดีมาก เพราะว่าเขามีครอบครัวที่มีเงินเก็บรวมกันเกือบ 10 ล้านบาท!! 
"ในใจเราไม่เคยแยกบัญชีกับคุณเลย เพราะอะไรรู้ไหม... 
"เพราะสำหรับเรา คุณแพงกว่านั้น
"เรารู้ว่าคุณอยากจะเป็นผู้นำ เรารู้ว่าคุณอยากจะดูแลเรา แต่เรามันคงดูแลยากเกินไปใช่ปะ คุณคงอยากจะดูแลคนอื่นที่มันดูแลง่ายกว่านี้ใช่ปะ ตอบมาสิฟิน!! ใช่ไหม!!"*
 *ดูคลิป Valentine Sweety วาเลนไทน์ สวีทตี้ 3/4 th-zone.com 

ประโยคนั้นทำให้เท็นถึงกับน้ำตาไหล...

ในฐานะที่เท็นเป็นผู้หญิง (ที่อยู่ในสถานะเดียวกับนางเอกในเรื่อง) เท็นอยากจะบอกว่า...
การที่เท็นรักใครสักคน ไม่ใช่เพราะเขาเป็น "ยอดมนุษย์" ที่เจ๋ง เก่ง เริดไปเสียทุกอย่าง!!
แต่เพราะเขาคือ "ผู้ชายธรรมดาๆ" ที่อยู่ด้วยแล้ว "มีความสุข" <3

ผู้หญิงคนอื่นคิดแบบเท็นรึเปล่าไม่รู้ แต่เท็นคิดแบบนี้ :)

ปิดท้ายด้วยคำคมจากสาวสวยผู้ช่วยในร้านกาแฟที่บอกกับฟินว่า...
"ถ้าแฟนพี่รวย แสดงว่าเขาเลือกพี่ เพราะคิดว่าพี่เป็น 'คนดี' "


(มีต่อภาค 2 ค่ะ ^^)

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ค้นหา "ด้านบวก" ของสิ่งที่เราไม่อยากทำ

วันนี้เท็นนั่งจัดห้องและเก็บของทั้งวัน เพราะมีอันต้องย้ายที่อยู่ชั่วคราว...

ปกติแล้วห้องของเท็นจะค่อนข้างรก เก็บของไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้โดนแม่บ่นเป็นประจำ ^^"
แต่เรารู้สึกว่า เราชอบอะไรที่ชิลๆ สบายๆ ถ้าห้องสะอาดหรือเป็นระเบียบมากไป มันดูไม่ค่อยเป็นบ้าน (จริงๆ เป็นข้ออ้างน่ะค่ะ เพราะเวลาทำงานที่ออฟฟิศ โต๊ะก็รกอยู่ดี :P)

ดังนั้น พอถึงเวลาจัดข้าวของจริงๆ เฮ้อ...
มันช่างขัดกับนิสัยเท็นจริงจริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงง (-*-)


ระหว่างที่ทำหน้าที่อย่างเปื่อยๆ อยู่นั่นเอง ก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่เคยพูดกับเรา...
ตอนนั้นเราเคยโทรไปขอคำปรึกษาเขา เพราะเราต้องฝืนใจทำบางสิ่งบางอย่าง...
แล้วเขาก็ให้คำแนะนำเราว่า...
"เวลาเราทำสิ่งที่ไม่ชอบ เราจะรู้สึกอึดอัด เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์กับเรา ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่จะทำ ดังนั้น เราต้องพยายามหาด้านบวกของสิ่งที่จะทำ เมื่อเราโฟกัสด้านบวก เราก็จะรู้ว่าเราจะได้อะไรจากมัน หาประโยชน์จากสิ่งที่ทำ แล้วเราจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำมากขึ้น และอยากจะทำมันมากขึ้นด้วย"
แล้วเขาก็ยกเคสของเขาเองขึ้นมาเล่าว่า สมัยที่เขาเรียนอยู่ เขาเกลียดการเข้าห้องแล็ปเพาะเชื้อที่สุด เพราะเขารู้สึกว่ามันน่าเบื่อเอามากๆ กับการต้องทำอะไรเดิมๆ ทุกวัน ข้อดีที่เขาพยายามหาจากสิ่งที่เขาต้องทำคือ เขาได้ฝึกสมาธิ ฝึกการทำงานอย่างรวดเร็ว และฝึกการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ย้อนกลับมาที่เรื่องของตัวเอง...
เท็นได้พบว่า...การจัดห้องเป็นการรื้อฟื้น "อดีต" ผ่าน "สิ่งของต่างๆ"

บางสิ่ง...เราจำไม่ได้ ว่าเราเคยซื้อมันมา
บางสิ่ง...หาตั้งนานไม่เจอ เพิ่งมาเจอวันนี้
"อดีต" ไหนที่มีประโยชน์ ทรงคุณค่า ควรแก่การเก็บรักษา ก็เก็บมันไว้...
"อดีต" ที่ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ก็เอามันออกไปจากชีวิต :)


เคลียร์ห้องให้สะอาด ก็เหมือนเคลียร์หัวใจให้สะอาด...
เพราะสิ่งที่เราทำเหมือนเป็นการบอกจิตใต้สำนึกของเรา ว่าเราได้เทขยะออกจากจิตใจของเราแล้ว และเลือกจะเก็บแต่สิ่งที่ดีๆ เอาไว้ในความทรงจำ ^___^

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เมื่อต้องสอน "ภาษาไทย" ให้ "ชาวต่างชาติ"

เวลาที่เท็นไปต่างประเทศ แล้วมีฝรั่งมาบอกให้สอนพูดภาษาไทยคำง่ายๆ เราก็จะรู้สึกดีใจที่เขาสนใจภาษาของเรา วัฒนธรรมของเรา

และเราเองก็ภูมิใจที่ได้พรีเซนต์ประเทศตัวเองให้กับคนภายนอก

เมื่อโรงเรียนศุมา*ได้เปิด "โครงการอบรมวิธีสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ" ขึ้น เท็นจึงไม่รีรอที่จะสมัครเข้าไปรับการอบรมครั้งนี้ด้วย

และเท็นก็ได้พบว่า...มันไม่ง่ายอย่างที่คิด!!

หลักในการสอนภาษาไทยของที่นี่คือ การออกเสียงที่ถูกต้อง ความหมาย วิธีใช้ และประเด็นทางวัฒนธรรม

1. การออกเสียงที่ถูกต้อง - ที่นี่จะเริ่มสอนจาการฟัง-พูด ก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มจากการสอนอ่าน-เขียน เพราะนี่เป็นวิธีธรรมชาติที่มนุษย์ใช้ในการเรียนรู้ภาษา ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ง่าย รวดเร็ว และสนุกกว่า

ปัญหาที่พบมาก เช่น เสียงพยัญชนะและสระบางตัวของไทยไม่มีในภาษาที่ชาวต่างชาติใช้เป็นปกติ (โดยเฉพาะเสียง "ง" มีปัญหาแทบทุกคน)  แยกความต่างระหว่างเสียงสั้น-ยาวไม่ออก ความยากในการออกเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง ฯลฯ

วิธีแก้ก็คือ เราต้องศึกษาว่าพยัญชนะและสระแต่ละตัวมีต้นกำเนิดเสียงอย่างไร อ้าปากอย่างไร วางตำแหน่งลิ้นยังไง มีลมหรือไม่มีลม ฯลฯ เมื่อเวลาที่ชาวต่างชาติออกเสียงไม่ชัด เราจะสามารถแก้ไขได้ถูกต้อง เวลาที่เราออกเสียงเป็นแม่แบบ เราต้องทำรูปปากให้ชัดและออกเสียงให้ "เว่อร์" เข้าไว้ เพื่อให้เขาแยกความแตกต่างของเสียงแต่ละเสียงได้

แค่เริ่มก็ยากแล้วเนาะ ^^"

2. ความหมาย - คำบางคำของไทยเขียนเหมือนกัน แต่มีหลายความหมาย (เช่น กา ขัน) คำบางคำมีความหมายใกล้เคียงกัน (เช่น "ปกป้อง" กับ "ป้องกัน" มีความหมายต่างกันอย่างไร**)

3. วิธีใช้ - เมื่อรู้ความหมายแล้ว ก็ต้องรู้วิธีใช้ด้วย เช่น คำว่า "เท่านั้น" กับคำว่า "เพียงแค่" แปลว่า only เหมือนกัน แต่วิธีใช้ต่างกัน (คำแรกวางไว้ท้ายประโยค คำหลังอยู่กลางประโยค)

เคยเกิดกรณีที่ครูสอนว่า "ไปไหนมา" เป็นคำทักทายที่คนไทยมักใช้ในชีวิตประจำวัน ฝรั่งคนนั้นจึงทักทายทุกคน ไม่เว้นแต่แม่ค้าในโรงอาหาร ยามหน้าตึก หรือคนขับแท็กซึ่ที่เจอหน้ากันครั้งแรกว่า "ไปไหนมา"

ซึ่งแท้จริง คำว่า "ไปไหนมา" คนไทยจะใช้เฉพาะกับคนที่รู้จัก และจะใช้ก็ต่อเมื่อมีการพบกันหรือสวนทางกันโดยบังเอิญเท่านั้น!!

ในสถานการณ์แบบนี้ คนไทยเราอาจเห็นเป็นเรื่องขำ แต่สำหรับนักเรียนต่างชาติหลายคน โดยวัฒนธรรมเขา เขารู้สึกอับอาย ยิ่งเมื่อเขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมการยิ้มของคนไทย การยิ้มอย่างเอ็นดูของคนไทยจึงกลายเป็นการ "ยิ้มเยาะ" ในสายตาของเขา นี่ก็เป็นสิ่งที่คนเป็นครูต้องสอนเช่นกันในประเด็นของวัฒนธรรม

4. ประเด็นทางวัฒนธรรม - ครูสอนภาษาไทยสอนวัฒนธรรมเพื่อช่วยในการเรียนภาษา จึงต้องเล่าเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนภาษา และชีวิตของนักเรียน

เรื่องนี้เท็นเจอกับเคสจบของตัวเอง เท็นได้รับโจทย์ให้สอน reading comprehension ซึ่งในเนื้อหามีการกล่าวถึง "แม่ย่านาง" กับ "เด็กขายพวงมาลัย" ตามสี่แยก

เท็นก็อธิบายว่าทำไมถึงเรียกว่าแม่ย่านาง บอกเล่าถึงที่มาของแม่ย่านางที่เริ่มต้นจากความเชื่อเรื่องผีของคนโบราณ ผนวกกับการเดินทางโดยเรือเป็นหลักของสังคมไทย จนเกิดเป็นวิญญาณที่คุ้มครองเรือ ต่อมาเมื่อคนไทยหันมาเดินทางด้วยรถ ความเชื่อเรื่องแม่ย่านางก็ยังคงอยู่ และเป็นต้นกำเนิดของเด็กขายพวงมาลัยตามถนนที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ครูผู้คุมสอนได้แนะนำว่า สิ่งที่เราควรสอนเพิ่มเติมคือเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่นักเรียนต่างชาติจะสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน และวิธีที่เขาควรปฏิบัติเมื่อพบเห็นสิ่งเหล่านี้ ดอกไม้หรือพวงมาลัยที่อยู่หน้ารถควรนำมาหยิบเล่นหรือไม่ ใบเตยหอมที่อยู่หลังรถใช้บูชาแม่ย่านางเช่นเดียวกันหรือเปล่า หรือไว้เพื่อให้มีกลิ่นหอมเฉยๆ นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาควรจะรู้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง

นี่จึงเป็นการเรียนการสอนที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง...

ที่นี่ยังสอนให้เรารู้จักคิดวิเคราะห์ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ไม่ใช่เชื่อเพราะท่องจำตามๆ กันมา ประเภทเขาพูดแบบนี้ ก็พูดตามเขาไปนั่นแหละ ไม่ต้องคิดเยอะ

เพราะฉะนั้น ถ้านักเรียนถามอะไรเรามา เราต้องตอบได้ หรือถ้าตอบตอนนั้นไม่ได้ ก็ต้องไปค้นข้อมูลมาให้ละเอียดแล้วจึงมาตอบ

บางคำถามที่นักเรียนถาม คนไทยเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เช่น...
ทำไมหนังสือ มีด เข็ม เกวียน เทียน จึงใช้ลักษณนามว่า "เล่ม" ทั้งๆ ที่ดูไม่มีอะไรเข้าพวกกันเลย***

หรือบางเคส นักเรียนอยากฝึกการฟัง ครูให้นักเรียนไปหาคำถามมา แล้วครูจะมาตอบเพื่อให้นักเรียนฝึกฟัง...นักเรียนถามว่า "ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ทำไมทีวีบางช่องยังเป็นของทหารอยู่" เป็นเรา...จะหงายไหม ^^"

ครูที่นี่จึงเป็นครูที่ทุ่มเทให้กับการสอนเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขารู้ดีว่าพวกเขาคือหน้าตาและภาพลักษณ์ของประเทศ นักเรียนต่างชาติที่มาเรียนจะมีทัศนคติต่อคนไทยและประเทศไทยอย่างไร ครูสอนภาษาไทยเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญ

ขอปิดท้ายบทความนี้ด้วยคำพูดของครูหนู ศศิธร พิทยรัตน์เสถียร ครูผู้ดูแลโรงเรียนศุมาว่า

"เราต้องเริ่มจากรู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วลงมือทำ จากนั้นจึงค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์และทักษะ พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่สุด ทรัพย์สินเงินทองและความมั่นคงในชีวิตก็จะตามมาเอง"

รักในสิ่งที่ทำ :)


*เว็บไซต์ http://www.sumaa.net แฟนเพจ https://www.facebook.com/SumaaThailanguage

**ปกป้อง = ดูและสิ่งที่มีอยู่ไม่ให้ได้รับความเสียหาย, ป้องกัน=กั้นไว้ไม่ให้มีอันตรายเข้ามา
(ในพจนานุกรมไม่ได้อธิบายความแตกต่างของสองคำนี้อย่างชัดเจน)

*** "ลักษณนาม" หมายถึงนามที่บ่งบอกลักษณะภายนอกของสิ่งๆ นั้น ดังนั้น สิ่งของที่ใช้ลักษณนามว่า "เล่ม" จะมีลักษณะร่วมกันคือ ผอม ยาว และมีปลายแหลม สำหรับหนังสือ ให้นึกถึงหนังสือใบลานสมัยก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เปลี่ยน "การออกกำลังกาย" เป็น "การบอกรักตัวเอง"

ถ้าให้เท็นมานั่งบอกว่า การออกกำลังกายมันดียังไง ทำให้สุขภาพจิตปลอดโปร่ง สุขภาพกายแข็งแรง มีผลงานวิจัยทางวิชาการ ฯลฯ เท็นคงไม่ทำ...

เพราะจริงๆ แล้วเท็นเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย!!
แต่เท็นก็ต้องออกกำลังกาย...ทำไม?!!?

การลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ควรมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่การออกกำลังกาย...

เป้าหมายในการออกกำลังกายของเท็นคือ
1. อยากสวย!! อยากลดหน้าท้อง อยากมีหุ่นทรงนาฬิกาทราย (ปัจจุบันเป็นสาวทรงกระบอกอยู่) 
2. เท็นกำลังเรียนร้องเพลง การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับปอดและหน้าท้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. น้ำหนักตัวเท็นปกติ แต่เป็นน้ำหนักไขมันมากกว่ากล้ามเนื้อ ทำให้การเผาผลาญไม่ดี
4. เท็นเป็นภูมิแพ้ แพ้ฝุ่นอย่างแรง!!

เป้าหมายดูสวยหรู แต่...เราก็ยังไม่ชอบออกกำลังกายอยู่ดี ^^"
แล้วจะทำยังไง เราถึงจะรู้สึกดีขึ้นกับการออกกำลังกาย?

เท็นได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "หากชีวิตเป็นดั่งเกม นี่ไงล่ะ...กติกา" (If Life is a Game, These are the Rules) ผู้เขียนได้เกริ่นนำในหัวข้อ "ความเคารพ" ไว้ว่า
"ร่างกายของคุณคือยานพาหนะที่ขับเคลื่อนชีวิต ตราบเท่าที่คุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จงอาศัยอยู่ในนั้น จงรัก เคารพ ให้เกียรติ และทะนุถนอมร่างกาย จงปฏิบัติต่อร่างกายเป็นอย่างดี แล้วร่างกายจะรับใช้คุณในแบบเดียวกัน : ซูซี่ พรูดเด็น"*
พูดง่ายๆ คือ การออกกำลังกายเป็นการบอกรักตัวเองอย่างหนึ่ง เมื่อเราปฏิบัติต่อร่างกายของเราเป็นอย่างดี รักและภูมิใจในร่างกายของตัวเอง ร่างกายก็จะตอบสนองเราในลักษณะเดียวกัน

นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้กล่าวอีกว่า แต่ละคนมีวิธีการเอาใจใส่ร่างกายแตกต่างกันไป ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากร่างกายของตัวเราเอง :)

ดังนั้น การออกกำลังกายตามความถนัดหรือความชอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ตีแบต เต้นแอโรบิก ฟิตเนส มวยไทย โยคะ ฯลฯ ลองดูหลายๆ อย่างจนกว่าจะเจอที่ใช่ หากเราสนุกที่จะทำมัน เป้าหมายเรื่องสุขภาพก็กลายเป็นผลพลอยได้ >..<

สำหรับบางคนมีอาการเจ็บป่วยหรือมีความต้องการเฉพาะ ทำให้ทางเลือกในการออกกำลังกายมีขีดจำกัด ก็อาจจะต้องใส่ submodality เข้าช่วย...

ยกตัวอย่างของเท็นเอง เท็นมีเป้าหมายที่ชัดเจน 4 ข้อที่กล่าวไว้ในข้างต้น ดังนั้น ก่อนที่เท็นจะไปออกกำลังกาย เท็นบอกตัวเองว่าเท็นมีเป้าหมายอะไร และถ้าทำสำเร็จ ฉันจะรู้สึกยังไง

ขณะที่เท็นออกกำลังกาย ทุกครั้งที่เท็นบิดเอว เท็นจะจินตนาการว่าเมื่อหุ่นฉันดีขึ้น ฉันจะรู้สึกยังไง ขยายความรู้สึกนั้นให้ชัด "ใช่...ทุกครั้งที่ฉันที่บิดเอว ฉันจะหุ่นดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ"

เช่นเดียวกับเวลาซิทอัพ "ใช่...หน้าท้องฉันกำลังลดลง"

หรือเวลาที่เราออกกำลังกายส่วนอื่นๆ เราจะบอกตัวเองและรู้สึกไปกับมัน ว่าร่างกายฉันกำลังแข็งแรงขึ้นๆ ในทุกการขยับของร่างกาย ย้ำกับตัวเอง ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ เป็นการบอกรัก ดูแล และขอบคุณร่างกายของเรา

เมื่อเช้าพอเท็นลองทำดู มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ค่ะ
ไม่รู้สึกฝืนเลย มีความสุขมากขึ้น และกลับมีเรี่ยวแรงมากขึ้นด้วย!!
ลองเอาไปทำกันดูนะคะ \(^0^)/


*Cherie Carter-Scott, หากชีวิตเป็นดั่งเกม นี่ไงล่ะ...กติกา, แปลโดย พรเลิศ อิฐฐ์ และวิกันดา พินทุวชิราภรณ์ (กรุงเทพฯ : วีเลิร์น, 2556), หน้า 33.

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เบื้องหลัง "ความโกรธ" ของคุณคืออะไร

ทุกๆ เย็นก่อนเท็นจะกินข้าว เท็นจะถามเมด (maid) ที่บ้านเสมอว่ามีอะไรกินบ้าง เขาก็จะตอบว่ามีแต่น้ำพริกไข่เค็ม เราก็กินแต่น้ำพริกไข่เค็มไปทุกมื้อๆ...

บังเอิญเป็นของที่ชอบอยู่แล้ว ก็เลยกินได้ทุกวัน :P

จนกระทั่งเมื่อวาน...อยู่ดีๆ เขาก็เอายำผักบุ้งกรอบออกมาวางไว้ให้ ซึ่งทำให้เท็นฉุกคิดได้ว่าไอ้ยำนี่มันนานแล้วนี่หว่า!! ซักไปซักมาจึงได้รู้ว่า ความจริงยังมีกับข้าวอย่างอื่นอีก แต่เขาไม่ได้บอกเรา จนมันเสียหมดแล้ว!!


เท็นก็โกรธเมดว่า มีกับข้าวอย่างอื่นทำไมไม่บอก ให้เรากินแต่น้ำพริกทุกวัน จนกับข้าวอย่างอื่นเสียหมด...

ครูอ้อยสอนว่า เบื้องหลังความโกรธมักมี "ความรู้สึกผิด" อยู่เสมอ เช่น ผู้ชายที่หงุดหงิดจากที่ทำงาน หรือแอบไปมีกิ๊ก เมื่อกลับมาบ้านก็พาลโกรธภรรยาด้วยเรื่องเล็กน้อย ทำกับข้าวไม่อร่อย หมาผอม เลี้ยงลูกไม่ดี ฯลฯ หรือแม่ที่เมื่อเห็นลูกถูกรังแก กลับตีลูกซ้ำ เพราะรู้สึกผิดที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เลยตีลูกเพื่อไม่ให้ลูกไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก...

ในกรณีของเท็น เมื่อเท็นรู้ว่าตัวเองกำลังโกรธปุ๊บ เท็นเห็นเลยว่า จริงๆ เรากำลังโยนความผิดรวมถึงความรับผิดชอบไปให้กับเมด กับข้าวกับปลาหลายอย่างเราก็เป็นคนซื้อมาเอง แล้วเราก็ลืมเอง จะไปหวังพึ่งเขา หวังให้เขาจำทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้...

แล้วเบื้องหลัง "ความโกรธ" ของคุณล่ะ? คืออะไร
จริงๆ คุณกำลัง "รู้สึกผิด" กับบางสิ่งบางอย่างอยู่รึเปล่า

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

“ทำให้” หรือ “ทำเอา”*

ทำให้ หมายถึง ทำเพราะอยากให้
ทำเอา หมายถึง ทำเพราะต้องการบางอย่าง เช่น ต้องการการยอมรับ

ในห้องเรียนเข็มทิศ มีคนตั้งคำถามกับครูอ้อยว่า ทำไมคนเขียนหนังสือ (บางคน) ถึงเป็นบ้า!! คือออกหนังสือมาเล่มเดียว ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาก แต่ทำตัวมีอีโก้สูง ใครแตะต้องงานฉันไม่ได้ ใครไม่เห็นด้วยมันผิด ใครมาว่างานฉันก็ลงไปชักดิ้นชักงออยู่อย่างนั้น...

ครูอ้อยตอบว่า...ตอนที่ครูตัดสินใจเขียนหนังสือ เข็มทิศชีวิตเป็นครั้งแรก ครูแค่คิดว่า อยากทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ให้กับโลกนี้ จึงนำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่นับ 10 ปีมาถ่ายทอดให้กับผู้คนผ่านตัวหนังสือ สิ่งที่ครูได้รับคือยอดขาย 1.4 ล้านเล่มโดยที่ตัวครูเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน!! ครูไม่เคยเขียนโดยคาดหวังว่าจะมียอดขายเท่าไหร่ มีคนมาชื่นชมผลงานฉันไหม จะมีคนไม่ชอบหรือเปล่า จะได้ตังค์เท่าไหร่ ฯลฯ ครูเพียงแค่เขียนอย่างมีความสุขและประณีตกับสิ่งที่ทำ ก่อนจะส่งมอบผลงานที่ดีที่สุด ด้วยใจที่อยากจะ "ให้" อย่างแท้จริงเท่านั้นเอง

ประเด็นสำคัญ 2 ประการคือ
1. ครูมีความสุขกับปัจจุบัน รักษาความเป็นปกติสุขของใจอยู่เสมอ รับรู้ถึงความสมบูรณ์พร้อมที่มีอยู่ ครูจึงไม่เรียกร้องความต้องการหรือการยอมรับจากคนภายนอก เพราะหัวใจครูเต็มอิ่มอยู่แล้ว
2. ครูสอนให้แยก “ตัวเรา” กับ “ความคิด/ผลงาน” ออกจากกัน เพราะหากเราคิดว่าผลงานคือตัวตนของเรา เมื่อมีคนมาว่าผลงานหรือความคิดของเรา ก็เท่ากับว่าตัวเราด้วย!! คนที่เจ็บที่สุดก็คือ “ตัวเรา” ไม่ใช่คนอื่น

เราเพียงแค่เห็นผลงานของเราเป็นเหมือน “ลูกรัก” สร้างสรรค์มันออกมาอย่างดีที่สุด ทำเต็มที่ที่สุด มีความสุขที่สุด แล้วปล่อยวางผล...

เมื่อเราสุดๆ กับมันในทุกๆ ด้าน...เราก็จะพอใจตัวเองแบบสุดๆ รักตัวเองสุดๆ และชื่นชมตัวเองสุดๆ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาบอกรักหรือชื่นชมเราก่อนเลย >..<

เพราะเมื่อใจเราเต็ม...ก็ไม่ต้องรอให้ใครมาเติม
แค่ลงมือทำก็ "เจ๋ง" แล้ว!!


*ยืมคำมาจากครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง