วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

To a Wonderful 2016!

1. What worked well in 2015? - Load

ตลอดปี 2015 ที่ผ่านมา ฉันทำงานกับโลกภายในของตัวเองอย่างจริงจังมาตลอด เพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึงเลยทีเดียว รู้สึกชื่นชมกับความพยายามและความมีวินัยของตัวเองเป็นอย่างมาก

2. What do I wanted to leave behind from 2015? - Innovation

คิดให้มันน้อยๆ ลงเสียบ้าง ^^" ลดความกลัวและความกังวลลง aware ว่าลักษณ์ทำงานหรือเปล่า (ทั้งเรื่องความพิเศษ อุดมคติ และการยอมรับ) ระวังว่ากำลังเอาความคิดไปปั่นความรู้สึกอยู่หรือไม่ อยู่กับความเป็นจริง ณ ปัจจุบันขณะหรือเปล่า

3. What is important to me in the upcoming year? - Believe

สืบเนื่องจากข้อ 2 เชื่อมั่นใน (คุณค่า) ของตัวเอง ก้าวเดินด้วยหัวใจที่มั่นคงมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันขณะ ทำตาม intuition อย่า focus ที่เป้ามากเกินไป แค่เดินไปเรื่อยๆ มีความสุขกับระหว่างทาง และขอบคุณทุกความงดงามที่เข้ามาในแต่ละขณะ

Happiness is a Journey, not a Destination. <3

การ์ดทั้งหมดนี้เกิดจากการ "สุ่ม"
คำถามมาจาก Layout ของเว็บไซต์ Points of You
ส่วน Coaching Cards ก็เป็นของ Points of You เช่นกัน

แต่พอเอา Layout ออก ฉันกลับตีความได้อีกแบบหนึ่ง
(ดูสีของไพ่ประกอบ)

ไม่มีอดีต
ไม่มีอนาคต
มีแต่...ปัจจุบันขณะ

No coming, no going,
no after, no before.

ช่างเป็นความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์!!
ปีใหม่นี้ ขอพระเป็นเจ้าอวยพรทุกคนตลอดปี 2016 ค่ะ <3


Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785
วันที่ 31 ธ.ค. - 5 ม.ค. ขอลาไม่เขียนบทความนะคะ มีเหตุจำเป็นอีกเช่นเคยค่ะ ^^"

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทำไมฉันถึงเลิกดื่มแอลกอฮอล์?

วันนี้มีคนถามว่า ทำไมฉันถึงเลิกดื่มแอลกอฮอล์

ฉันกินแอลกอฮอล์เป็นครั้งแรกสมัยเรียน ป.ตรี ที่ศิลปากร
เมื่อถึงเทศกาล มีโอกาสก็ตบเหล้าป๊อกกินที 4-5 ช็อต

พวกคอแข็งๆ คงจะบอกว่ากระจอก
อย่างน้อยเพื่อนฉันคนหนึ่งตบที 40 ช็อต!!

ถึงฉันจะกินแอลกอฮอล์ แต่ฉันก็จะลิมิตตัวเอง ไม่ให้กินจนเมาเละเด็ดขาด!!
เหตุผลเดียว กลัวไม่สวย ^^"

สมัยทำงานใหม่ๆ เครียดมาก ต้องกระดก LEO กินวันละกระป๋อง ทุกวัน!!
จนติดนิสัยเวลาเครียด ต้องเดินเข้า 7-11 เพื่อ LEO หนึ่งกระป๋อง

ไปเมืองนอกเมืองนา ก็กินไวน์กินแอลกอฮอล์อื่นๆ ลองของแปลกใหม่เสมอ ถ้ามีโอกาส

เรียกว่าก็น่าจะลองมาเกือบหมดนะ (คิดว่า)

เวลากินฉันรู้สึกเลยว่า ฉันมีความสุขง่ายขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น กล้ามากขึ้น
เรื่องที่เครียดๆ อยู่ก็เหมือนๆ จะเลือนหายไป...

แล้วทำไมถึงเลิก?

ตอนที่ฉันไปเข้าร่วมภาวนากับสังฆะหมู่บ้านพลัมเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2014
กิจกรรมหนึ่งในสังฆะคือการ "ทวนศีล"
"ศีล" ที่ว่าก็คือ ศีล 5 เหมือนบ้านเรานั่นแหละ แต่เอามาขยายความเพิ่มเติม
เรียกว่า "ข้อฝึกอบรมสติ 5 ประการ"
(เนื้อหาตามลิงก์
http://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&view=article&id=7&Itemid=47)

ตอนอ่านครั้งแรก คิดในใจเลยว่า "โหย ตรูผิดทุกข้อเลยว่ะ 555"
แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นความประทับใจการขยายความศีล 5 ของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เช่นกัน

หลวงปู่ทำให้ศีล 5 กลายเป็นเรื่องของการตระหนักรู้ การมีสติกับปัจจุบันขณะ การเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และการขัดเกลาตัวเองอย่างแท้จริง

อ่านมาเรื่อยๆ จนถึงข้อสุดท้าย (ศีลข้อ 5)

"...ข้าพเจ้าขอตั้งปณิธานที่จะไม่บริโภคเพื่อกลบเกลื่อน ความทุกข์ ความเหงา และความกังวล..."

หลังอ่านจบ...ฉันนิ่งงันไป...

จริงสินะ...เวลาฉันกินแอลกอฮอล์ ฉันมีความสุข
แต่อีกด้านหนึ่ง การมีความสุขแบบชั่วครั้งชั่วคราวแบบนี้ มันก็แค่กลบกลื่นความทุกข์บางอย่างที่เราไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน โดยซุกมันไว้ใต้พรม ก็แค่นั้นเอง...
มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริงและยั่งยืน

มันเป็นแค่การหนีจากตัวเองอย่างหนึ่ง
หนีจากโลกหนึ่ง ไปสู่อีกโลกหนึ่ง
คนที่ติดเฟสบุ๊กหรือโซเชียลมีเดียมากๆ ก็เป็นด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน
"บริโภคเพื่อกลบเกลื่อน ความทุกข์ ความเหงา และความกังวล"

ถึงได้มีคนกล่าวว่า คนสมัยนี้อยู่กับตัวเองไม่ค่อยได้...

คนส่วนใหญ่มักวิ่งตามหาเงื่อนไขความสุขที่อยู่ภายนอก
แต่แท้ที่จริงแล้ว...

"The Way Out Is In" (ทางออก...อยู่ข้างใน)
--หลวงปู่ติช นัท ฮันห์--

สรุปก็คือ ด้วยประโยคทวนศีลประโยคนั้นประโยคเดียวนั่นแหละ
ทำให้ฉันตัดสินใจเลิกแอลกอฮอล์ทุกชนิด (ยกเว้นศีลมหาสนิท) อย่างถาวร


Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทุกคนมีเวลา "ตื่นรู้" ของตัวเอง

เมื่อกี้ได้มีคุยโอกาสคุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นลักษณ์เดียวกัน มาปรึกษาเรื่องโลกภายในของ 4

เราฟังปุ๊บ เรารู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร แต่เรากลับไม่สามารถบอกเขาได้

เพราะเรื่องบางเรื่อง มันสอนกันไม่ได้ (จริงๆ นะ)

นอกจากไม่รู้จะสอนยังไงแล้ว บางสภาวะ บางประสบการณ์ เจ้าตัวต้องรู้/ผ่าน/สัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น ถึงจะเข้าใจ บอกล่วงหน้าไปก็ไม่มีประโยชน์ และอาจจะเป็นผลเสียด้วย

บางที มันก็ยังไม่ถึงเวลาของเขา...

ฉันเชื่อต่างคนต่างมีเวลา "ตื่นรู้" ของตัวเอง ส่วนจะช้าจะเร็วแค่ไหน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ชุดความรู้ ความตั้งใจที่จะฝึกฝนตัวเอง ฯลฯ

ที่สำคัญที่สุดและขอย้ำว่า "สำคัญมาก" คือ "การมีสติระลึกรู้" และ "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" (Awareness & Being Present) เพื่อให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ความเป็นลักษณ์ที่มันหลอกเราอยู่

ถ้ามี 2 สิ่งนี้ ที่เหลือก็ขึ้นกับประสบการณ์รายทางแล้วล่ะ ว่าเราจะทัน "สาร" (Message) ที่พระเจ้าส่งมาหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน

ถ้าให้แนะนำเพิ่มตอนนี้ ก็...ไปหาหนังสือนพลักษณ์มาอ่านเพิ่มนะ ^^"

พูดได้เท่านี้จริงๆ...

ขอพระเจ้าทรงนำทาง


Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บินไปอเมริกา บินไปกับคาเธ่ย์ฯ

จั่วหัวเหมือนโฆษณาเนอะ 555
แต่จริงๆ มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ :P

เท็นเคยบินไปอเมริกาหลายครั้ง ใช้บริการมาก็หลายสายการบิน
แต่ถ้าให้เลือกว่าอยากบินกับสายการบินไหนมากที่สุด เท็นตอบได้เลยว่า "คาเธ่ย์ แปซิฟิก"

เพราะอะไร?

1. เวลา -- ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ต้องปรับตัวเรื่องเวลามากนัก ช่วยลดปัญหา Jet lack ไปได้ระดับหนึ่ง

ตัวอย่างเที่ยวบินล่าสุดของเท็น: กรุงเทพฯ --> ฮ่องกง --> ลอสแองเจลิส
ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 6.30 น. ถึงฮ่องกง 10.00 น.
เวลาฮ่องกงต่างกับไทยแค่ 1 ชัวโมง ไม่มีอะไรต้องปรับตัว 555
มีเวลาช้อปปิ้ง หรือเดินชิลๆ อีก 3 ชั่วโมง ก่อนขึ้นเครื่องเวลา 13.05 น.
ซึ่งถ้าเป็นบางสายการบิน ช่วงเวลาเปลี่ยนเครื่องมีน้อยมาก จนต้องวิ่งหอบกระเป๋าจนลิ้นห้อย
นี่ถือว่าเป็นเวลาที่ไม่มากไปหรือน้อยไปสำหรับการ transit
ถึงแอลเอตอน 9.40 น. ซึ่งเป็นเวลาเช้าพอดี
สำหรับเท็น มันเหมือนกับเราออกจากบ้านตอนบ่าย แล้วถึงที่หมายตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นพอดี
(แม้ว่าจริงๆ มันจะต้องลบไป 1 วันก็ตาม ^^")

เคยต้องไป transit แถบอังกฤษกับตะวันออกกลาง พบว่าทรมานมาก เพราะระยะห่างของเวลา (GMT) มันเป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ (ไทยต่างจากอังกฤษ 7 ชั่วโมง อังกฤษต่างจากอเมริกา 7 ชั่วโมง) ฉะนนั้นไม่แนะนำเด็ดขาดค่ะ!!

2. บริการ -- ที่นั่งดี แอร์บริการดี อาหารดี ไม่เสียชื่อสายการบินที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก

ขอ mention เพิ่มว่า เท็นทานมังสวิรัติ เพราะฉะนั้นจะต้องสั่ง "อาหารพิเศษ" สำหรับคนทานมังฯ เฉพาะ ซึ่งถ้าใครเคยมีประสบการณ์สั่งอาหารพิเศษ ก็จะรู้ว่าอาหารเหล่านี้เหมือนเป็นลูกเมียน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับอาหารปกติที่เสิร์ฟบนเครื่อง

ของคาเธ่ย์ฯ ก็ลูกเมียน้อยนะ แต่ถือว่ารสชาติอร่อย และดีกว่าอีกหลายๆ สายการบิน "มาก"
เสียดายนะ ที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ^^"

3. โครงการ Change for Good -- เป็นโครงการที่คาเธ่ย์ฯ ร่วมกับยูนิเซฟ โดยพนักงานต้อนรับจะแจกซอง (ตามรูป) เพื่อให้ผู้โดยสารได้มีโอกาสร่วมบริจาคให้กับยูนิเซฟโดยใสซองด้วยเงินสกุลอะไรก็ได้ หรือจะบริตาคผ่านเครดิตการ์ดหรือเช็ค ก็สามารถทำได้เช่นกัน

เป็นโครงการน่ารักๆ ที่ส่วนตัวรู้สึกชื่นชอบมากกับไอเดียกิ๊บเก๋แบบนี้ และเผลอใจหย่อนตังค์ใส่ซองบริจาคไปหลายรอบ >..<

บินไปอเมริกา แนะนำบินไปกับคาเธ่ย์ฯ นะคะ <3



วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วันที่ 24-27 ธ.ค. นี้ ขอไม่อัพบทความนะคะ มีเหตุจำเป็นค่ะ เรียนมาเพื่อทราบ ^^

โอบอุ้มเด็กน้อยในตัวเรา 2: ว่าด้วย "ความกลัว" และ "ความตาย"

วันนี้เกือบจะขอไม่เขียนบทความแล้ว เพราะรู้สึกว่าป่วยเอามากๆ
และรู้ตัวว่าเป็นความป่วยที่เกิดจากจิตใจที่เหนื่อยล้าและสิ้นเรี่ยวแรง
เหมือนที่ อ.สันติกโรเคยเปรียบเทียบเอาไว้เกี่ยวกับนิวรณ์ "พยายาม" นั่นแหละ
พยายาม (หมายถึง บังคับให้เป็นดังใจเรา) -- เหมือนต้องวิ่งขึ้นเขาที่ไม่มีวันจบ ขึ้นไปๆ เรื่อยๆ มันก็เหนื่อย ต้องฝืนใจวิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้หยุดพัก เพราะรู้ตัวว่าวิ่งไปก็ป่วยการ
(ที่มา: อ.สันติกโร, นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม, 2558) 
เขียนถึงตรงนี้ ก็พอจะเห็นแหละ ว่าที่เราไม่ยอมหยุดวิ่งเพราะมี "ความกลัว" บางอย่าง
"ทำไมเราถึงกลัวความตาย? ในสังคมสมัยใหม่ เราไม่ได้มองชีวิตและความตายเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลก็คือเรายึดติดกับชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ผลักไสและปฏิเสธความตาย ความตายกลายเป็นสิ่งที่เรากลัวอย่างยิ่ง เป็นสิ่งสุดท้ายที่เราอยากจะมอง"
(ที่มา: ปาฐกถาธรรม ศิลปะแห่งการอยู่และการตาย โดยท่านโซเกียล ริมโปเช แปลภาษาไทยโดย พระไพศาล วิสาโล วันที่ 19 ธันวาคม 2558)
หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า "ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราก็คือเมื่อเราตายแล้วเราจะไม่เหลืออะไรเลย" เพราะเรามอง "การเกิด" และ "การตาย" อย่างแบ่งแยกเป็น 2 ขั้ว ทำให้เรา "ยึดติด" กับบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยให้เรา "รอด"
"เราพยายามที่จะยึดถือสิ่งต่างๆ ที่เราให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่คนที่เรารัก แต่การยึดถืออย่างเหนียวแน่นในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ความกลัวสงบลงเลย ที่สุดแล้ววันหนึ่งเราก็จะต้องปล่อยสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไป เราไม่สามารถนำสิ่งเหล่านั้นไปกับเราได้"
(ที่มา: ติช นัท ฮันห์. กลัว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ฟรีมายด์, 2558.)
ท่านโซเกียล ริมโปเช ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในปาฐกถาธรรมเช่นกันว่า
"น่าเสียดายที่ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนมองความตายว่าคือความสูญเสียหรือความพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามมองในแง่ของธรรมมะ ความตายมิใช่โศกนาฏกรรมที่เราต้องกลัว แต่มันคือโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับการแปรเปลี่ยน"
(ท่านโซเกียล ริมโปเช แปลโดย พระไพศาล วิศาโล) 
แล้วเราจะมองเรื่อง "การเกิด" และ "การตาย" อย่างไม่แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วได้อย่างไร?
"สำหรับพวกเราหลายคน ความคิดเห็นเรื่องการเกิดและการตาย การมาและการไป สร้างความเจ็บปวดให้เราอย่างมาก เราคิดว่าคนที่เรารักมาจากที่ไหนสักแห่ง และขณะนี้เขาจะจากเราไปที่ไหนสักแห่ง แต่ธรรมชาตที่แท้ของเราคือธรรมชาติแห่งการไม่มีการมาและไม่มีการไป เราไม่ได้มาจากที่ไหน และเราก็ไม่ได้จะไปที่ไหน เมื่อเงื่อนไขต่างๆ ถึงพร้อม เราจะปรากฏขึ้นในรูปแบบนั้นๆ และเมื่อเงื่อนไขเหล่านั้นไม่พร้อมอีกต่อไป เราก็ไม่สามารถปรากฏในรูปแบบนั้นได้อีก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีอยู่ ถ้าเรากลัวความตาย นั่นเป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจว่าสิ่งใดๆ ล้วนไม่มีความตาย" 
(หลวงปู่ติช นัท ฮันห์, กลัว, 2558)
"ธรรมชาติที่แท้จริง ไร้การเกิดและไร้การตาย" หลวงปู่ได้กล่าวถึง "ก้อนเมฆ" ที่ปรากฏนท้องฟ้า ก่อนที่มาเป็นก้อนเมฆ มันคือไอน้ำที่สร้างมาจากมหาสมุทรและความร้อนจากแสงอาทิตย์ และหลังจากที่เป็นก้อนเมฆแล้ว มันก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นฝน หิมะ หรือลูกเห็บ เมฆไม่สามารถเกิดขึ้นจากความไม่มีอะไร และไม่สามารถสูญหายกลายเป็นความว่างเปล่าได้

สสารทุกชนิดในโลกล้วนเป็นเช่นนี้...

ว่าแล้ว ก็งงๆ ว่า ฉันเขียนมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร??
จบดีกว่า ^^"



FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โอบอุ้มเด็กน้อยในตัวเรา

ช่วง 2-3 วันมานี้เป็นช่วงที่เผชิญกับความสั่นไหวภายในตัวเองอย่างหนัก...

การพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นไหว ทำให้ฉันถึงกับไม่อยากกินอะไร ไม่อยากทำอะไร เอาแต่นอนลูกเดียว
น่าแปลกนะ การพยายามที่จะเอาตัวเองกลับมาสู่ "ปัจจุบันขณะ" กลับทำให้ฉันเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่มันน่าจะส่งผลดี

ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? สันนิษฐานเบื้องต้นว่าฉัน “พยายาม” มากเกินไป

เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สังฆะของหมู่บ้านพลัมใกล้บ้าน
หลังเลิกสังฆะ ฉันก็ไปกินข้าวเพื่อนๆ ที่สนิทกันในสังฆะเช่นเคย
แม้จะคุยกันหัวข้ออื่น แต่ก็มีรุ่นพี่ท่านหนึ่งให้คำแนะนำมา
ซึ่งมันอยู่ในหนังสือ “กลัว” (Fear) ของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์
เป็น ในหนังสือเล่มที่ฉันชอบมาก

วันนี้ เลยถือโอกาสหยิบขึ้นมาดูใหม่
และภาวนาตามที่หลวงปู่สอนไว้ในหนังสือ
“หายใจเข้า ฉันเห็นตัวฉันเองเป็นเด็กอายุห้าขวบหายใจออก ฉันยิ้มให้เด็กห้าขวบคนนั้น”

น้ำตาฉันไหลพราก ฉันได้เข้าใจว่า ที่ผ่านมา ฉันไม่เมตตาตัวเองเอาเสียเลย บังคับให้ตัวเองทำนั่นทำนี่ตลอดเวลา และบางครั้งก็เกินกำลังความสามารถที่เด็กน้อยในตัวจะทนไหว จนส่งผลกระทบถึงสุขภาพร่างกายของฉันในตอนนี้

เด็กน้อยในตัวฉันต้องการความรักอย่างมาก และคนแรกที่จะให้ได้ก็คือตัวฉันเอง
แม้บางครั้งเด็กน้อยในตัวจะโยเยไม่น่ารัก เต็มไปด้วยความโกรธ ความเศร้า ความกลัว
ฉันไม่อาจผลักไสมัน แต่ต้องโอบอุ้มด้วยความรักและ “สติ”

วันนี้เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน...



วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

จดหมายเหตุนางงามจักรวาลปี 2015

เป็นรูปที่เห็นแล้วสะเทือนใจมากรูปหนึ่ง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้...

ปกติฉันไม่ค่อยได้ดูการประกวดนางงามหรอก 
แต่พอเห็นสเตตัสในเฟสบุ๊กของเพื่อนขึ้นมาว่าน้องแนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ ตัวแทนจากประเทศไทยได้เข้ารอบ 15 คนสุดท้าย ฉันก็รีบเปิดทีวีดูทันที

เธอสวยจริงๆ จะเชยไหมถ้าฉันจะบอกว่าเพิ่งเห็นน้องแนทเป็นครั้งแรก ^^"

ที่ตลกก็คือ น้องแนทสามารถคว้า "รางวัลชุดประจำชาติ" มาได้ด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนไทยด่ากันเกือบทั้งบ้านทั้งเมืองว่ามันประจำชาติตรงไหน?!!? (รวมถึงฉันด้วย ขอรับสารภาพ ^^")

กลับไปที่เวทีกันต่อ...

ปีนี้ หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจ คือให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถร่วมตัดสินได้ด้วยการโหวตได้ ผ่านทางเว็บไซต์ www.missuniverse.com
น่าเสียดาย พอฉันจะเข้าไป ระบบล่มซะงั้น!!
แล้วก็แปลกใจว่า คนที่ติดโผ Top 5 ของผลโหวตทำไมบางคนไม่ได้เข้ารอบ
จริงๆ ผลโหวตมันมีผลแค่ไหนต่อการตัดสิน?

นั่งลุ้นน้องแนทตั้งแต่รอบ 15 คน ไปยันรอบ 10 คน
จนรอบ 5 คน น้องแนทไม่ผ่าน แต่ก็ยังนั่งดูต่อ...

รอบ 5 คนสุดท้าย นางงามแต่ละคนจะได้รับคำถามเฉพาะของตัวเอง
พอได้ยินคำถาม ฉันถึงกับอุทาน "เชร้ดเข้!! นี่มันคำถามการเมืองชัดๆ!!"
โดยเฉพาะคำถามแรกของ Miss Philipines
"Do you think the US should have a military base in the country?” 
(คุณคิดว่าสหรัฐอเมริกา ควรตั้งฐานทัพในประเทศของคุณหรือไม่) 
คำถามล่อเป้ากันเห็นๆ!!

นี่คือคำตอบจากนางงามฟิลิปปินส์...

“I think that the US and the PH have a good relationship with each other. We’ve been colonized by the Americans and we have their culture. Philippines is very welcoming with the Americans and I don’t see any problem with that at all.”
(ฉันคิดว่าสหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเราเคยเป็นอาณานิคมของสหรัฐฯ มาก่อน และได้ซึมซับเอาวัฒนธรรมแบบอเมริกันมาด้วย ฟิลิปปินส์ยินดีต้อนรับชาวอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง และฉันไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย)

คำตอบถูกใจคนอเมริกัน แต่ถูกใจคนบ้านนางหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ^^”
อันนี้อาจจะเป็น bias ส่วนตัวของฉันเอง...

ผ่านมาจนถึงรอบ 3 คน ทุกคนได้รับคำถามเดียวกันหมด
จนนาทีประกาศผล
“Miss Universe 2015 is Columbia!!”

นางงามรองอันดับ 1 ที่มาจากฟิลปปินส์ก็ถอยไปยืนข้างๆ เวที
นางามรุ่นพี่ซึ่งมาจากโคลัมเบียเช่นกันเข้ามากอดนางงามรุ่นน้องตัวกลมด้วยความดีใจ ที่โคลัมเบียรักษาแชมป์ได้ 2 ปีซ้อน
นางงามคนใหม่ได้รับช่อดอกไม้ สายสะพาย และสวมมงกุฎ
ยืนน้ำตาไหล โบกมือยิ้มไปรอบๆ ด้วยความดีใจ

ประมาณ 5 นาทีต่อมา ฉันเห็นพิธีกรเดินเข้ามาด้วยท่าทีแปลกๆ
“I have to apologize...”

ผู้คนก็กรี๊ดกันสนั่นในห้องส่ง ส่วนตัวฉันก็คิดว่า พิธีกรคนนี้มันเล่นมุกตลกดี แม้แต่นางงามก็ยังหัวเราะ
“The first runner-up is Colombia.”“Miss Universe 2015 is Philippines”


ช็อกสิคะ โลก!!

ทั้ง Miss Columbia กับ Miss Philippines ก็อึ้งทั้งคู่ ทำอะไรไม่ถูก
มีทั้งเสียงกรี๊ดและเสียงโห่ในเวลาเดียวกัน
นางงามจากฟิลิปปินส์ได้แต่ก้าวออกมาข้างหน้า ไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี
จะให้ดีใจแบบสุดๆๆๆ มันก็คงจะไม่ใช่

แต่ยังดีที่พิธีกรคนนี้ เขาออกมาแสดงความรับผิดชอบเต็มที่ ว่าตัวเขาขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว พร้อมทั้งโชว์ใบประกาศเป็นหลักฐาน ถือว่ามีสปิริตดีอยู่...

อย่างไรก็ดี นาทีที่รวดร้าวที่สุดสำหรับนางงามคนหนึ่ง เมื่อต้องยืนให้นางงามรุ่นพี่ถอดมงกุฎจากศีรษะ
ใบหน้านั้นยังประดับไปด้วยรอยยิ้มด้วยสปิริตนางงาม แต่ไม่อยากจะคิดเลยว่าข้างในจะเป็นยังไงบ้าง...
ยิ่งได้เห็นรูปด้านล่างนี้แล้ว สะเทือนใจจริงๆ...

ตอนหลังฉันได้ดูคลิปหนึ่ง นักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ Miss Columbia หลังเวที
เธอ "ปาดน้ำตา" แล้วกล่าวว่า

“Everything happens for a reason, so I’m happy. I’m happy for all I did becoming this dream,”
(ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันมีความสุข มีความสุขกับทุกสิ่งที่ฉันทำเพื่อความฝันนี้)

ขอสดุดีในความเข้มแข็งของเธอ
นี่แหละ...นางงามตัวจริง!!

(เครดิตภาพ: AP)

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการสังเกตตัวเอง: นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม วันที่ 7 (11 ธ.ค. 2015) (ตอนจบ)

วันนี้ฉันเห็นความหงุดหงิดของฉันชัดเจนตั้งแต่เช้า (หงุดหงิดคนอื่น) ฉันพยายามบอกตัวเองว่าให้หายโกรธ แต่มันก็ไม่หายสักที นึกถึงเรื่อง "ต้อง" ที่อาจารย์เคยเตือนฉันไว้ ฉันเลยเห็นตัวเองว่า อ้อออ ฉันกำลัง "ต้องหายโกรธ" อยู่

ฉันเลยบอกตัวเองว่า "เออ โกรธไปเลย เอาซะให้พอ"
เออ มันหยุดเว่ย!!

จิตใจคนเรานี่ก็ช่างประหลาดนัก!!

ก็เลยลองใช้มุกนี้กับการภาวนาด้วย ซึ่งก็พบว่ามันไม่เลว...

สิ่งที่ฉันค้นพบเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเอง 2 ข้อ คือ

1. ฉันเห็นอาการ "หวง" ภาพลักษณ์บางอย่างของฉัน เช่น กลัวคนมองไม่ดี (แต่แน่นอน การแก้ด้วยการบอกตัวเองว่า "ฉันต้องเลิกแคร์ภาพลักษณ์ " ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง)

2. เวลาที่ฉันสังเกตนก ผีเสื้อ สุนัข มด ผึ้ง ฯลฯในป่า ฉันรู้สึกเหมือนดูหนังสารคดีชีวิตสัตว์โลก ฉันรู้สึกว่าชีวิตของพวกมันดูความสุขและเบิกบาน

ฉันตั้งคำถามว่า ทำไมฉันถึงไม่เคยมองสิ่งเหล่านี้ในแง่ลบ (เช่น ชีวิตพวกมันน่าเบื่อ) หรือกลางๆ เลย ฉันเดาว่า "ความอิจฉา" ซึ่งเป็นกิเลสประจำลักษณ์ของฉันกำลังทำงานอยู่ "พวกมันดูมีความสุขกว่าฉัน"

คำถามบน panel
(ถามเหมือนกันทุกลักษณ์ แต่ตอนอยู่บน panel ไม่ได้ตอบละเอียดขนาดนี้ เพราะ panel ศูนย์ใจคนเยอะมาก ^^")

1. เมื่อเราภาวนาอยู่จะมีอะไรรบกวนการภาวนา
- ส่วนใหญ่เป็น "พยายาม" (มีละอายและหงุดหงิดตัวเองซ่อนอยู่ด้วย) กับ "ฟุ้งซ่าน" ฟุ้งซ่านกับเรื่องของอดีตและอนาคต ทั้งจริงและไม่จริง รูปธรรมและนามธรรม

รูปธรรม -- เหตุการณ์ เพลง ละคร รายการที่ชอบ มาพร้อมทั้งภาพ เสียง ความรู้สึก ช่วงแรกก็จะนึกถึงรายการที่อยากดู มีดราม่าเยอะ แต่พอหลัง panel ลักษณ์ 3 (panel แรก) ก็มาคิดถึง panel เป็นหลัก โดยมาคิดว่า เอ๊ะ เราจะตอบว่ายังไงดี แล้วก็จะ pop up มาเป็นฉากๆ มีทั้งสนุก ตลก เสียใจ ร้องไห้ ทะเลาะกันก็มี แต่ไม่มีแบบอารมณ์ธรรมดาๆ แบบของจริง

นามธรรม -- มาเป็นอารมณ์ความรู้สึก เช่น ตื่นเต้น กลัว เศร้า กดดันตัวเอง หรืออาการคล้ายๆ เคี่ยวเข็ญตัวเอง ผลักตัวเองให้ต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ หรืออาการคล้ายๆ เร่งรีบ ทั้งหมดน่าจะมาจากอนุสัยของเรา

(เรื่อง "พยายาม" อาจารย์ได้ตอบว่า
เป็นเพราะ "ใจ" ไม่เชื่อมั่นในสมรรถภาพทาง "ใจ"
พลังของศูนย์เราเองที่เราใช้บ่อยๆ แต่เรากลับไม่เชื่อมั่นในมัน)

2. รู้ตัวได้อย่างไรว่าหลุดจากสมาธิ
- เวลาพยายามมากๆ จะรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะที่ช่วงท้อง เหนื่อย เครียด ปวดหัว คลื่นไส้ บางทีข้างในร้อนๆ หายใจสั้น บางทีหายใจแรงเพราะตั้งใจมากไป
- ถ้าฟุ้งซ่านพอมันคลุกเคล้ากับอารมณ์จนเยอะ หรือบางทีก็ตัวเอนไปข้างหน้า ข้างหลัง ข้างๆ ถึงขั้นหงายหลังหรือสะดุ้งเลยก็มี (อาจารย์บอกว่า ถ้าตัวเอน แปลว่า สติหลุดจากตัวไปแล้ว)

3. จะกลับมาเร็วขึ้นได้อย่างไร
- 1) "รู้"
- 2) ใช้ app ระฆังสติช่วย ให้มันดังทุกๆ 5 นาทีระหว่างนั่งสมาธิ

4. สิ่งเหล่านี้อ่อนกำลังลงหรือหายไปยังไงบ้าง
- ใช้หลายวิธี เช่น ถามตัวเองว่า "นั่งแบบธรรมดาๆ ได้ไหม" "นั่งแบบไม่มีเป้า ไม่เป็นงาน ไม่ต้องสำเร็จได้ไหม" หรือใช้วิธีอยากคิดคิดไป ปรากฏมันเลิกคิด หรือเดินจงกรมให้สนุก พอสนุก เราก็จะมีสมาธิกับสิ่งที่เราทำ

5. เมื่อสมาธิดี ไม่มีอะไรรบกวน (หรือรบกวนน้อยมาก) รู้สึกอย่างไร เคยเจอไหม
- ถ้าเดินจงกรมได้ดี จะรู้สึกว่าหนักแน่น นิ่ง มั่นคงในตัวเอง เหมือนยืมพลังจากพื้นดินมา
- ถ้านั่งสมาธิดีๆ จะรู้สึกสงบ fullfill อ่อนโยน เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง โดยเฉพาะเวลาเมตตาภาวนาจะชอบมาก เพราะเหมือนเราได้ส่งพลังความรัก ความอ่อนโยน ไปข้างนอกได้ด้วย ถ้าทำสมาธิปกติจะรู้สึกคล้ายๆ กัน แต่ไม่แรงเท่า ตอนที่ภาวนา "อากาศ" จะไม่มีความรู้สึกเหล่านี้ แต่จะรู้สึกเหมือนไม่มีตัวเรา อนัตตา

พอตอบข้อสุดท้ายได้ ฉันถึงได้เข้าใจที่อาจารย์ได้บอกก่อนหน้านี้ไว้ว่า
"เรานั่งสมาธิเพื่อพบคุณค่าของชีวิตโดยที่ไม่ต้องขึ้นกับสังคม"
มันเป็นอย่างไร... ^__^

พระอาทิตย์ตกดิน วันที่ 11 ธ.ค 2015


FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการสังเกตตัวเอง: นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม วันที่ 6 (10 ธ.ค. 2015)

เช้าวันที่ 6 ฉันเห็นจิตที่มันแส่ส่ายมากๆ ฟุ้งซ่านเอามากๆ คิดถึงเรื่องอะไรมากมายทั้งที่เป็นความจริงและจินตนาการ แต่จำอะไรแทบไม่ได้เลย

อาจารย์นำภาวนาว่า "ช่วงเช้าเป็นช่วงที่สดชื่น จิตใจไม่วุ่นวาย..." ฉันเถียงอาจารย์ในสมาธิทันที "ตอนเช้านี่แหละที่จิตฉันวุ่นวายที่สุด!!"

ตอนกลางคืนกลับเป็นช่วงที่ฉันทำสมาธิได้ดีที่สุด ด้วยความมืด ด้วยอากาศ บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ทั้งหมดช่วยให้จิตฉันสงบลงมาก

อันนี้คงขึ้นกับ "นาฬิกาชีวิต" ของแต่ละคนที่ต่างกัน...

อย่างไรก็ดี เวลาที่ฉันฟุ้งซ่านหรือจิตใจวุ่นวายเอามากๆ ฉันจะพยายามบอกให้ตัวเองยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหัว รวมถึงทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจด้วย

แต่มันยังเป็น "ต้อง" ยอมรับอยู่ ทำให้ข้างในรู้สึกเหนื่อยเอามากๆ

ประเด็นเรื่อง "ต้อง" เป็นประเด็นที่อาจารย์ให้ความสำคัญมากในเคสของฉัน ตั้งแต่วันแรกที่เข้าห้องสอบอารมณ์ (6 ธ.ค.) ก็จะถูกเตือนบ่อยๆ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะวิ่งไปที่ "ไม่ต้อง" แทน
เพราะมันก็คือ "ต้อง" แบบหนึ่งเหมือนกัน

จริงๆ แล้วอารมณ์ความรู้สึกหลายอย่างที่ "ไม่มีสาเหตุ" ที่ไหลเข้ามาในตัวฉันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้น ความเศร้า ความหงุดหงิด ฉันสันิษฐานว่ามันคือ "อนุสัย" ในตัวฉัน คือความเคยชินในสันดาน เช่น ปมความเจ็บปวด ความรีบเร่ง การเคยชินกับการต้องเข้าไปจัดการทันที เหมือนที่ฉันอยากจะเข้าไปจัดการอารมณ์ตัวเองในสมาธิให้หายไป

ฉันถามตัวเองว่า "ไม่จัดการได้ไหม"

คำถามนี้ ทำให้ฉันมองอารมณ์เหล่านั้นโดยไม่ตัดสิน ด้วยความเข้าใจว่ามันมาจากไหน และรู้สึกเมตตาตัวเองมากขึ้น <3 :)


พระอาทิตย์ตกดิน วันที่ 10 ธ.ค 2015


FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan

Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการสังเกตตัวเอง: นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม วันที่ 5 (9 ธ.ค. 2015)

วันนี้เป็นวันที่นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่ามีอะดรีนาลีนข้างในตัวเยอะมาก คล้ายกับอาการตื่นเต้นจนอยากจะลุกออกไปทำอะไรสักอย่าง จนหาความสงบภายในไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่สังเกต และคิดว่ามีความเชื่อมโยงกันก็คือ เวลาฉันฟังบรรยายหรือฟัง panel ฉันต้องขยับตัวตลอดเวลา เปลี่ยนท่านั่งบ่อยมาก นอนเอกเขนกก็มี มันเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่ฉันอยู่กับอารมณ์ "เฉยๆ" ไม่ได้ สำหรับฉัน แค่การขยับตัวเป็นการเร้าอารมณ์ให้สนุกตื่นเต้นแบบหนึ่ง เป็นเหตุให้เวลานั่งสมาธิ ฉันจะมีความรู้สึกคล้ายตื่นเต้น อยากลุกไปทำอะไรตลอดเวลา

กลุ่มลักษณ์ 4 เข้าห้องสอบอารมณ์เป็นครั้งที่สอง ก็ได้โจทย์มาหลายเรื่อง

1. อยู่กับอารมณ์เรียบๆ ไม่ได้ -- ลองทำสิ่งที่ไม่ท้าทาย และไม่ท้าทายตัวเองด้วย ถ้าไม่ท้าทายความรู้สึกจะเป็นอย่างไร จะมีปฏิกริยาอย่างไร

2. ทุกลักษณ์ถ้าอยู่กับสิ่งหลีกเลี่ยง (ลักษณ์ 4 คือ ความสามัญธรรมดา) ได้มากเท่าไหร่ ลักษณ์ก็จะเบาบางลงเท่านั้น อาจารย์บอกว่า จริงๆ เราทำได้ แต่เราไม่ยอมทำ เพราะภาพลักษณ์บางอย่าง

****3. เราไม่ยอม commit อะไรกับสิ่งที่เสี่ยงต้องภาวะความเจ็บปวดทางอารมณ์หรือเปล่า

คำถามข้อสุดท้ายทำให้ฉันงุนงงอย่างมากขณะที่ 4 คนอื่นๆ ดูจะเข้าใจกันหมด...

ฉันเป็นคนที่รักษา commitment ของตัวเองมาก
แต่...เรื่องที่ไม่เสี่ยงกับภาวะความเจ็บปวดทางอารมณ์งั้นหรือ??

ฉันทำงานกับตัวเองทันทีตั้งแต่เย็นวันนั้น นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นพิจารณาในสมาธิ แล้วเขียนมันออกมาจนได้ข้อสรุปว่า

ใช่...ฉันไม่กล้า commit กับสิ่งนั้นจริงๆ
เพราะสำหรับฉัน "ความผูกพันทำให้เจ็บปวด"
การไม่ยอมเอาตัวเองไปผูกพันทางอารมณ์กับใคร เป็นความกลัวอย่างหนึ่ง
แต่การยอมเอาตัวเองไปผูกพันกับใคร ก็เป็นความเจ็บปวดเช่นกัน

(เรื่องนี้คงต้องขออธิบายเพียงเท่านี้ เพราะเป็นเรื่องของโลกภายในที่ลึกและซับซ้อนมากๆ จนไม่รู้จะอธิบายให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่ายได้ยังไง รวมถึงเหตุผลเรื่องพื้นที่ส่วนตัวด้วยค่ะ

แต่สิ่งที่ตอบได้ตอนนี้ ที่คิดว่าจะช่วยตัวเองได้ ก็คือ ลดความคาดหวังลง...
อยู่กับความเป็นจริง//ปัจจุบันขณะให้ได้มากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนอุดมคติ//จืดชืด//ไม่ดราม่า//ไม่โศกซึ้ง ก็ตาม...

ยังไง "น้ำเปล่า" ก็ healthy กว่า "น้ำอัดลม" นะ ว่ามะ ^^)


พระอาทิตย์ตกดิน วันที่ 9 ธ.ค 2015

FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan

Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการสังเกตตัวเอง: นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม วันที่ 4 (8 ธ.ค. 2015)

สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ อาจารย์นำภาวนาด้วยบทการให้อภัย (ซึ่งฉันไม่ได้จดไว้ เพราะไม่อิน) ทำให้ฉันไปรือฟื้นถึงคนที่ฉันยังให้อภัยไม่ได้อีกครั้ง และยังเป็นประเด็นมาจนถึงวันนี้

ช่วงเช้า อาจารย์นำภาวนาว่าด้วยกายานุปัสสนา ฉันตามอาจารย์ไม่ค่อยได้ เพราะความโกรธแค้นที่สั่งสมเอาไว้ ไม่สามารถทำให้ฉันหายใจลึกหรือผ่อนคลายได้ แต่จะดีกว่าวันก่อนๆ ตรงที่ เวลาที่ฉันบอกตัวเองว่า

"นั่งแบบธรรมดาๆ ได้ไหม"
"นั่งแบบไม่มีเป้าได้ไหม"
"นั่งแบบไม่ใช่พันธกิจได้ไหม"

แม้มันจะได้เป็นพักๆ แวบๆ พอมันจะได้ มันก็จะมีเสียงเข้ามาว่า ต้องจัดการความเกลียดก้อนนั้นให้เรียบร้อยก่อน ไม่เช่นนนั้นจะ บลาๆๆๆ แล้วก็วกกลับมาใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้

แต่เอาวะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย...
และมันก็กลายเป็นความตั้งใจว่า ก่อนกลับกรุงเทพฯทฉันจะต้องให้อภัยให้ได้!!!

ช่วงธรรมบรรยาย อาจารย์กล่าวถึง "การปฏิบัติต่อนิวรณ์" มีทั้งที่เป็นปัจจุบันและระยะยาวต่อเนื่องหลายปี นิวรณ์เกิดจากอนุสัย (ความเคยชินที่นอนเนื่องในสันดาน) ที่โผล่ขึ้นมากจากภายในตัวเรา ยังไม่มีทิศทางหรือเหยื่อ เมื่อโผล่ขึ้นมาแล้ว ก็จะหาเหยื่อ แล้วไปเกาะติด และจะรุกหนักขึ้นจนเป็นกิเลส ถ้าปฏิบัติสมาธิจะช่วยให้เบาขึ้นได้ ไม่เป็นกิเลสเต็มรูป (กิเลสแบบตัว ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ นิวรณ์จัดเป็นเพียงกิเลสครึ่งรูปเท่านั้น) ถ้าเป็นกิเลสเต็มรูป แปลว่า สติแตก ^^"

ถ้านิวรณ์รบกวน...

1. จัดการปรับปรุงสมาธิ ไม่ต้องจัดการกับนิวรณ์โดยตรง ถ้ามีสติมากพอ มีสมาธิที่ดีคือบริสุทธิ์ แจ่มใส ว่องไว ไม่มีเรา ไม่มีมลทิน อะไรๆ กระทบกระทั่งไม่ได้ กลมกลืน บูรณาการ เป็นเอกภาพ เราต้องพยายามปรับปรุงให้สมาธิสมดุล สงบ แต่เป็นความพยายามแบบไม่ดื้อ ไม่บังคับ ไม่คาดหวัง สมดุลกับพลัง แจ่มใส ไม่ต้องอร่อยกับพลังตื่นเต้น (เช่นลักษณ์ 3 7 8) ต้องศึกษาว่าไม่สมดุลยังไง การศึกษานพลักษณ์ก็ช่วยได้

2. ถ้านิวรณ์เข้มข้นและกำลังจะเป็นกิเลส ให้หาคุณธรรมหรือกุศลธรรมที่ตรงข้ามกับนิวรณ์ที่รบกวน เช่น

กามฉันทะ -- ใชความเรียบง่ายและสันโดษ
พยาบาท -- ใช้เมตตาหรือให้อภัย
ถีนมิทธะ -- ใช้บทภาวนาแสงจันทร์ รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระจันทร์ที่มีแสงเย็นๆ นวลตา (ไม่ได้จดไว้ เลยจำไม่ได้หมด ^^")
อุทธัจจะกุกกุจจะ -- ใช้บทภาวนาภูเขา รู้สึกว่าตัวเองเป็นภูเขาที่มีความหนักแน่น  (ไม่ได้จดไว้ เลยจำไม่ได้หมด ^^")
วิจิกิจฉา -- ใช้ความเชื่อมั่น
ละอาย -- ยอมรับและรักตัวเอง ไม่มองตัวเองว่าน่าเกลียด ผิด ใช้ไม่ได้ ฝึกจนกว่าจะ "หมดตัวเอง" ไม่มีตัวเอง ก็ไม่มีอับอาย อย่างไรก็ดี แรงเฉื่อยของตัวกูของกูก็จะขึ้นมาบ่อยๆ เนืองๆ
พยายาม -- ใช้หลักแบบเซน ทำเหมือนไม่ทำ ไม่ทำเหมือนทำ ปฏิบัติเหมือนไม่ปฏิบัติ

อาจารย์ให้เลือกนิวรณ์ตัวหลักๆ ของเราขึ้นมาฝึก ถ้าฝึกจนคล่องก็จะสนุก

ถ้าอนุสัยยังอยู่ นิวรณ์จะออกมาเป็นครั้งเป็นคราว ถ้าโกดังของอนุสัยใหญ่ นิวรณ์ก็จะออกมาบ่อยๆ ต้องทำให้โกดังเล็กลงเรื่อยๆ จากโกดังเหบือแค่บ้าน จากบ้านเหลือแค่โอ่ง

ทำยังไง?

1. อย่าเพิ่งเอาอะไรไปฝากเศษกิเลสอีก ฝึกปฏิบัติคุณธรรม เพื่อไม่ฝากอะไรในโกดังเพิ่ม โดยธรรมชาติจะมีหนูมาช่วยเอาอะไรไปทีละน้อย ซึ่งจะช่วยให้โกดังเล็กลง

2. สร้างบารมีให้แก่กล้า (ที่อาจเนื่องกับลักษณ์) เราไม่สามารถ "ตั้งใจ" สร้างบารมีได้ ถ้าตั้งใจจะตกร่องลักษณ์ ไม่ใช่บารมีที่บริสุทธิ์ สร้างบารมีในที่นี้คือผ่อนคลายหรืออยู่กับกิเลสและความคิดยึดติดได้ ถ้าบารมีแข็งแรง มีพลัง ก็จะฝากเศษกิเลสในโกดังน้อยลง ถ้าไม่มีตัวกูของกู บารมีจะยิ่งงอกงาม ถ้ายังมีตัวกู ก็อย่าปฏิบัติอย่างเห็นแก่ตัว แบ่งปันประโยชน์ให้สรรพสัตว์

การปฏิบัติภาวนา เหมือนการทำวิจัยและสืบสวน 4 ประเด็น คือ

1. ทุกข์เป็นอย่างไร (นิวรณ์ ตัวกู กิเลส ลักษณ์ ความรู้สึกทุกข์)
2. ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร (อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดทุกข์ เราศึกษาลักษณ์เพื่อไม่ให้ลักษณ์ทำให้เราทุกข์)
3. ทุกข์ดับอย่างไร (ทุกข์เกิดเมื่อไหร่ ดับลงที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องอนาคต ทุกข์เกิดที่ไหน ดับที่นั่น นิโรธ จริงๆ แปลว่า ไม่ให้มันเกิด ถ้ามันเกิด ปล่อยวางเหตุปัจจัย มันก็ดับเอง)
4. จะมีชีวิต อยู่ หากิน พูดคุย มีสามีภรรยาพี่น้องญาติอย่างไรจึงไม่ทุกข์ // ไม่ก่อให้เกิดเป็น "ตัวกู" จนเป็นทุกข์

"ทุกข์ดับลงที่นี่ ไม่ใช่เรื่องของอนาคต" เป็นประโยคที่โดนใจฉันที่สุด ความ "พยายาม" บีบบังคับตัวเองให้ให้อภัยได้ในเร็ววัน เป็นเพราะฉันกลัวและกังวลกับเรื่องที่เป็น "อนาคต" ทั้งสิ้น

ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า...

"เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว" (มัทธิว 6:34)

มันก็จริงนะ...

สุดท้ายก็ "ยอมรับ" ว่า ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ก็คือ "ไม่ได้" ไม่เป็นไร...
ไม่ต้อง force ตัวเอง ไม่ต้องมีเป้า ไม่ต้องสำเร็จ

ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของท่านพุทธทาส ที่ อ.สันติกโร ยกขึ้นมาในวันนี้
"ธรรมะจะง่ายถ้าไม่มีคน"
ฉันแอบกล่าวต่อในใจเงียบๆ ว่า
"ชีวิตจะง่ายถ้าไม่มีลักษณ์" :P



พระอาทิตย์ตกดิน วันที่ 8 ธ.ค 2015

FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการสังเกตตัวเอง: นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม วันที่ 3 (7 ธ.ค. 2015)

วันนี้ยังคงทำงานกับตัวเองเรื่อง "ความพยายาม" และ "การยอมรับ" เช่นเคย ช่วงเช้าก่อนบรรยายฉันเห็นลักษณ์ตัวเองทำงานหนักมากจนข้างในฉันรู้สึกอึดอัด

หลายๆ ครั้งที่ฉันจะลอง "ปล่อย" แต่มันก็จะมีความรู้สึกบางอย่างถูกขับดันขึ้นมา จนฉันปล่อยไม่ได้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร...

จน 9.00 น. เริ่มธรรมบรรยาย อาจารย์ได้กล่าวถึงอุปมาเกี่ยวกับนิวรณ์อีกบทหนึ่งที่ปรากฏในพระสูตร และได้เพิ่ม "พยายาม" เป็นนิวรณ์ตัวที่ 7 จากการที่ได้คุยกับลักษณ์ 4 เมื่อวานนี้

อุปมาในพระสูตรกล่าวถึงว่า ถ้านิวรณ์ต่อไปนี้ถูกละได้โดยสมาธิ จะเข้าถึงสภาพตามอุปมาเหล่านี้...

กามฉันทะ -- เหมือนคนเคยกู้เงิน แล้วใช้หนี้หมด แล้วมีเงินเหลือ จะรู้สึกอย่างไร
พยาบาท -- เหมือนเราเป็นโรคอะไรสักอย่าง เมื่อหายจากโรค จะรู้สึกอย่างไร
ถีนมิทธะ -- เหมือนคนเคยติดคุก เมื่ออกจากคุก แล้วยังมีทรัพย์สินอยู่ จะรู้สึกอย่างไร
อุทธัจจะกุกกุจจะ -- ทาสที่ถูกปลดปล่อย รู้สึกอย่างไร ความเป็นนายเหนือตัวเอง ไม่มีใครบังคับเรา แม้แต่สามีภรรยา
วิจิกิจฉา -- พ่อค้าขายของในดินแดนทุรกันดาร มีโจร ต้องระแวดระวัง กลัวของหาย จะถึงที่หมายอย่างปลอดภัยไหม แต่พอไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ไม่เสียหาย รู้สึกสบายใจอย่างไร

นิวรณ์ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ตัว อาจารย์อุปมาดังนี้

ละอาย -- เหมือนต้องเดินตลาดโดยไม่มีเสื้อผ้า แล้วมีคนให้เสื้อผ้าเรา และเราได้สวมใส่ เดินโดยไม่ต้องอายใครจะรู้สึกยังไง
พยายาม (หมายถึง บังคับให้เป็นดังใจเรา) -- เหมือนต้องวิ่งขึ้นเขาที่ไม่มีวันจบ ขึ้นไปๆ เรื่อยๆ มันก็เหนื่อย ต้องฝืนใจวิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้หยุดพัก เพราะรู้ตัวว่าวิ่งไปก็ป่วยการ

ข้อสุดท้ายเนี่ยแหละที่โดนใจฉันมากที่สุด "การวิ่งขึ้นเขาโดยไม่มีวันจบ" สำหรับฉันมันเศร้าเอามากๆ เวลาที่มีคนพูดถึงในทำนองว่า "การเติบโตเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด" มันทำให้ฉันท้อ เพราะฉันอยากให้มันจบบริบูรณ์ ไม่อยากเหนื่อยอีกแล้ว

มันคงเป็นเรื่องของอุดมคติ เป้าหมาย และความสำเร็จ ซึ่งถึงตอนนี้คงได้แต่ทำใจ...

อีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ฝากไว้คือเรื่อง "การกิน" โดยอาจารย์ได้ทดลองตั้งคำถามสำหรับแต่ละลักษณ์ดังนี้ (ซึ่งจะพิจารณาตามปีกก็ได้)

ลักษณ์ 1 -- กินอย่างไรจะอร่อยตามธรรมชาติ (ไม่ต้องอร่อยปรุงแต่ง)
ลักษณ์ 2 -- กินอย่างไรจะเป็นการดูแลตัวเอง (เมตตาตัวเอง)
ลักษณ์ 3 -- กินอย่างไรไม่เป็นเป้าหมาย ธุระ งาน
ลักษณ์ 4 -- กินอย่างไรธรรมดาๆ
ลักษณ์ 5 -- กินอย่างไรไม่ขี้เหนียว ประหยัด
ลักษณ์ 6 -- กินอย่างไรจะไม่ป้องกันตัว
ลักษณ์ 7 -- กินอย่างไรโดยไม่ตะกละ
ลักษณ์ 8 -- กินอย่างไรโดยไม่กำหนัด เว่อร์ สุดโต่ง
ลักษณ์ 9 -- กินอย่างไรโดยไม่มึนเมา (narcotization)

หลังจบชั่วโมงธรรมบรรยาย ฉันเอาอุปมาเรื่องการวิ่งขึ้นเขามาเป็นหัวข้อพิจารณาใคร่ครวญในการภาวนา และปรับหัวข้อเรื่องการกินเป็น "ภาวนาอย่างไรธรรมดาๆ" หรือ "เชิญระฆังสติอย่างไรธรรมดาๆ" เพราะฉันเห็นตัวเองอย่างชัดเจนเวลาเชิญระฆัง ว่าฉันหวังผล "เลิศ" เสมอ และในการภาวนาก็เช่นกัน

ถึงตอนนี้ฉันถึงได้เข้าใจว่า "ความรู้สึกที่ถูกขับดันขึ้นมา" โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือสิ่งนี้!!
มันเหมือน "แส้" ที่เฆี่ยนม้า เพื่อให้มันห้อไปถึงปลายทางให้เร็วที่สุด
แต่ปลายทางที่เราคิดว่ามีอยู่จริง กลับไม่มีอยู่

เวลาที่ความรู้สึกนี้ดันขึ้นมา ฉันจึงบอกตัวเองว่า มันคือการพักผ่อน ไม่ต้องวิ่งไปไหน
และเตือนตัวเองด้วยคำถามว่า "นั่งอย่างไรธรรมดาๆ"
มันช่วยได้เยอะมากเหมือนกัน ^_^


พระอาทิตย์ตกดิน วันที่ 7 ธ.ค 2015

FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan

Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการสังเกตตัวเอง: นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม วันที่ 2 (6 ธ.ค. 2015)

วันนี้ฉันทำการบ้านกับตัวเองต่อจากเมื่อวานเรื่องการให้อภัยคนที่ฉันยังพยาบาทอยู่
ตลอดช่วงเช้าจนถึงเที่ยง ฉันพยายามมากๆ ที่จะบอกให้ตัวเองให้อภัยเขา แต่ทำไม่ได้เลย ส่งผลให้ทำสมาธิไม่ได้ด้วย

ช่วงเบรกตอนบ่ายหลังกินข้าวเที่ยง ฉันหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนความรู้สึกของฉันเพื่อสืบค้นลงไป และตั้งคำถามเพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น สุดท้ายฉันพบว่า ความเป็นลักษณ์ทำให้ฉันมองเห็นตัวเอง "ตัวเล็กกว่าความเป็นจริง" และเป็น "เหยื่อ" หรือ "ผู้ถูกกระทำ" เสมอ

ถ้าฉันตัวใหญ่กว่าเขา การกระทำของเขาจะไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับฉัน
เหมือนแมลงวันที่มาตอม เราก็แค่ปัดไป

การที่ฉันมองว่าตัวเองดี+ใหญ่ (ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เว่อร์เกินจริง) มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันก็มีสิทธิ์ มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต (จากเดิมที่คิดว่า "ฉันคงไม่ได้หรอก," "เป็นไปไม่ได้หรอก")

แต่เชื่อไหมว่า ถึงจะคิดได้แบบนี้ แต่พอจะทำจริง ก็ทำไม่ได้อยู่ดี...
ความคิดแบบเดิมก็ยังคงเข้ามารบกวนอยู่เรื่อยๆ ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนและ "รู้ทัน" มันต่อไป

ตอน 16.00 น. กลุ่มลักษณ์ 4 ได้เข้าไปพบอาจารย์เพื่อสอบอารมณ์ ประเด็นที่เกี่ยวกับตัวฉันมีอยู่ 2-3 ประเด็น

ประเด็นแรก เกี่ยวกับเรื่องความ "พยายาม" ของฉันเอง และลักษณ์ 4 คนอื่นๆ ก็ประสบปัญหาคล้ายๆ กัน ซึ่งเกี่ยวโยงถึงอุดมคติและเป้า (ความคาดหวัง) กรณีของฉันคือ ฉันคิดว่าสมาธิที่ดีคือการไม่มีความคิด ไม่มีความรู้สึก (อีกนัยหนึ่งคือ รู้สึกสงบสันติ) จึงพยายามไปให้ถึงตรงนั้น จนกลายเป็นการ "บังคับ" หรือ "กดดัน" ไปในที่สุด

อาจารย์ให้สังเกตว่า "อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้เราพยายาม" ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการสู้อะไรสักอย่าง

ฉันเลยถามตัวเองว่า "ถ้าทำแล้วจะได้อะไร" คำตอบคือ "ฉันจะได้มีความสุข" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าลึกๆ เราไม่พอใจตัวเองอยู่

และคนที่ฉันต่อสู้ ก็คือตัวฉันเอง!!

อาจารย์กล่าวเพิ่มด้วยว่า ตัวผู้ดู/ผู้รู้ คือสิ่งที่เราให้ค่าว่า "ดี" กับอะไรอีกสักอย่าง เราให้ค่ามันว่า "ไม่ดี" แล้ว 2 สิ่งนี้ก็สู้กัน

"ทั้งชั่วทั้งดีล้วนอัปรีย์" -- ท่านพุทธทาสกล่าวไว้

ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ ความเป็น 4 ทำให้มีความ "สุดขั้ว" ทั้งสองฝั่ง "เธอมีความหมายสำหรับฉันมากเหลือเกิน" หรือ "เธอไม่มีความหมายสำหรับฉัน!!" แคร์มาก หรือ ไม่แคร์เลย การสุดโต่งแบบรักแบบสุดขั้ว มันปรุงแต่งเกินความจริง บางคนเราก็เกลียดเกินความจริง การสุดขั้วสองฝั่ง ทำให้เราไม่เห็นทางเลือกอื่นของความสัมพันธ์

มันก็จริงนะ...
ตอนนี้ฉันกำลังรักใครเกินจริง เกลียดใครเกินจริงหรือเปล่า
ปกติเรามักจะโทษคนอื่น แต่จริงๆ มันแปลว่าเรากำลังแสวงหาบางอย่างจากเขาอยู่

ประเด็นสุดท้าย คือเรื่อง "การยอมรับ" เมื่อเจอสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง แล้วเกิดการตีความตามลักษณ์ ให้ "ยอมรับ"การตีความนั้นไปก่อน แล้วพอย้อนกลับมาดูอีกครั้ง จึงค่อยเห็นว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราตีความ ต้วอย่างเช่น อาจารย์ซึ่งเป็นลักษณ์ 1 ตีความครั้งแรกว่าสิ่งนี้ผิด ก็ยอมรับว่าเราตีความว่าสิ่งนี้ผิด แต่เมื่อย้อนกลับมาดูอีกครั้งจึงเห็นว่า อ้อ จริงๆ มันไม่ได้ผิด 

เหตุที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะปกติถ้าฉันเจอสถานการณ์ใดและเกิดการตีความตามลักษณ์ขึ้น ฉันจะบอกตัวเองว่า เธอตีความแบบนี้ไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้องและเกิดการต่อต้านกันขึ้น

การยอมรับในระดับหนึ่ง ก็ช่วยให้เข้าถึงความจริงมากขึ้น
นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำการบ้านในวันต่อๆ ไป
อย่างน้อยการที่ฉันยอมรับว่าฉันยังเกลียดเขาอยู่ ก็ช่วยทำให้ฉันเบาขึ้นมากทีเดียว ^_^

------------------------------------------

หัวข้อการปฏิบัติธรรมปีนี้เป็นเรื่องของ "นิวรณ์"

นิวรณ์ คือ สิ่งกีดกั้น ส่วนใหญ่หมายถึงกีดกั้นสมาธิ จิตจะไม่สงบ บางแห่งเรียกว่า อาหารแห่งอวิชชา จิตจะไม่เห็นอะไรตามความเป็นจริง เลยอยู่กับอวิชชา คือ ความไม่รู้ รู้ผิด ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ถ้าถูกนิวรณ์แทรกแซงจะใส่ใจเรื่องนั้นได้ไม่เต็มที่ มีอยู่ 5 ตัว ซึ่งจะกล่าวถึงด้านล่าง

ในพระสูตร ได้มีการนำเรื่องของ "นิวรณ์" มาทำเป็นอุปมา โดยอุปมาจิตที่เป็นสมาธิ เหมือนน้ำในภาชนะที่นิ่ง ใช้ส่องแทนกระจก ส่องดูใจเรา เห็นชัดเจน ตามจริง

ถ้าน้ำถูกแทรกแซงแปรปรวนโดย "นิวรณ์"...

กามฉันทะ (พอใจกับการแสวงหาความสนุกเพลิดเพลินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย)
--> เป็นเหมือนสี เมื่อใส่ลงในน้ำ จะมองเห็นตัวเองไม่ชัด ไม่ตรงกับที่เป็นจริง สียังสมารถเปลี่ยนไปมาได้อีกด้วย

พยาบาท (หงุดหงิด ไม่พอใจ แต่ไม่ถึงโมโห รำคาญ)
--> เหมือนกองไฟใต้ภาชนะใส่น้ำ ทำให้น้ำเริ่มขึ้นเป็นฟอง (แต่ไม่ถึงกับเดือด) มีไอน้ำ

ถีนมิทธะ (เฉยชา เบื่อ ง่วงเพราะขี้เกียจ)
--> บนน้ำและในน้ำมีพืชเล็กๆ ขึ้นตามธรรมชาติ ตะไคร่น้ำคลุมน้ำ เพราะทิ้งไว้นาน ทำให้มองตัวเองไม่ได้

อุทธัจจะกุกกุจจะ (ฟุ้งซ่าน กังวล ฝัน)
--> เหมือนลมพัด ทำให้ผิวน้ำไม่นิ่ง

วิจิกิจฉา (ลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ ไม่กล้าตัดสิน สรุป หรือลงมือ หากเป็น doubt ที่เกิดจากข้อมูลไม่พอ ไม่ใช่นิวรณ์ เพราะไม่รบกวนจิต)
--> มีดินไปผสมกับน้ำ ทำให้มันไม่ใสสะอาด มองตัวเองตามความเป็นจริงไม่ได้

ในพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมจะมีนิวรณ์เพียง 5 ตัวนี้เท่านั้น แต่อาจารย์ได้ตั้งสมมติฐานว่า อาจจะมีนิวรณ์มากกว่า 5 ตัว และได้เสนอตัวที่ 6 ขึ้นจากการที่อาจารย์ได้คุยกับผู้ปฏิบัติหลายๆ คน นั่นคือ "ละอาย" (shame) หมายถึง รู้สึกว่าตัวเองผิด มีความเป็นตัวเองที่ไม่ดี (ไม่ใช่เพราะทำผิดแบบ guilty) ให้คุณค่ากับตัวเองในเชิงลบ

อาจารย์ได้อุปมาว่า ความละอาย เหมือนกระจกเงาในสวนสนุก ที่ส่องแล้วจะเห็นตัวเองมีรูปร่างแปลกๆ บิดเบี้ยว ค่อนไปทางน่าเกลียด


พระอาทิตย์ตกดิน วันที่ 6 ธ.ค 2015

FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785