วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

เมื่อโลกภายในของฉัน frustrated

วันนี้เป็นวันที่โลกภายในสั่นสะเทือนมากที่สุดวันหนึ่ง

ตั้งใจว่าจะมา say hi เพื่อนที่มาจัดบูธที่โถงชั้น 1 หอศิลป์กรุงเทพฯ

ภาพรวมของงานที่จัด เป็นงานของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนา สร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงสังคม

อันที่จริง ความสั่นไหวของฉัน เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เข้างานด้วยซ้ำ!!

ฉันไม่แน่ใจนัก ว่าความสั่นไหวของฉันเกิดจากอะไรกันแน่ แต่มันรุนแรงมาก มันเป็นทุกครั้งที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าเราจะต้องเจอกับอะไร...

อีกส่วนหนึ่งคือ ถ้าไปแล้วจะทำตัวยังไง กลัวตัวเองเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของพื้นที่นั้น

อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเอง...มันอาจจะดีก็ได้นะ ที่เราก้าวเท้าออกมาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย การออกจาก comfort zone หรือพื้นที่เดิมในหลายๆ ครั้ง ก็สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับฉันไม่น้อย

พอไปถึง ความ frustated ของฉันกลับทวีความรุนแรงขึ้น

พื้นที่จัดงานค่อนข้างเล็ก ในพื้นที่แบ่งออกเป็นซุ้มๆ บรรยากาศคล้ายๆ กับการจัดงานของนักศึกษามหาลัยฯ

แต่คนมาดูงานแทบไม่มีเลย มันเงียบมาก จนฉันยิ่งเก้อเขินหนักกว่าเดิม ที่จะเข้าไปในพื้นที่นั้น

ฉันรีบมองหาคนรู้จัก แล้วเดินพุ่งเข้าไปทักทาย คนที่ฉันตั้งใจจะมาหายังมาไม่ถึงก็จริง แต่การได้พบปะพูดคุยกับคนที่เคยเห็นหน้าค่าตา ก็ลดความสั่นไหวลงไปได้ระดับนึง

ฉันโชคดีที่เจอพี่ที่รู้จักจากอีกซุ้มหนึ่ง เขาเลยเดินไปเป็นเพื่อนฉันไปดูจุดต่างๆ

เรื่องราวในงานนั้น มันดูห่างไกลจากตัวฉันมากเหลือเกิน ทุกอย่างถูกสื่อสารออกมาเพื่อให้คนตระหนัก รับรู้ และเปลี่ยนแปลงสังคม (สิ่งที่อยู่นอกตัว) ขณะที่ปกติฉันเป็นคนโฟกัสเกี่ยวกับโลกภายในและการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นหลัก

ฉันเพิ่งเข้าใจ (ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า) ถึงความต่างระหว่างคำว่า extrovert กับ introvert ก็วันนี้ และฉันก็เพิ่งรู้ตัวเองว่า ฉันเป็นคน introvert เอามากๆๆๆๆๆๆๆ มากถึงมากที่สุด!!

ลองนึกถึง energy แบบ NGO แล้วจะเข้าใจ...

(ไม่ได้บอกว่า energy แบบไหนดีหรือแย่กว่า แค่ใครอาจจะชอบหรือคุ้นเคยกับแบบไหนมากกว่าเท่านั้น)

และด้วยพื้นที่ที่เล็กมาก แล้วทุกบูธส่งพลังออกมาแบบนั้นในระดับเดียวกัน แม้จะเงียบมาก ไม่มีคน แต่มันกลับทำให้ฉันสับสน รู้สึกถึงพลุกพล่าน โฟกัสไม่ได้

นั่นยิ่งถ่างระยะห่างระหว่างฉันกับพื้นที่นี้มากขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกไม่ secure  และไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

และยิ่งฉันพยายามควบคุมตัวเองเท่าไหร่ ข้างในยิ่งสั่นไหวเท่านั้น การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ขาดๆ เกินๆ เรดาร์ที่เคยจับ energy ได้แม่นยำ ก็ดูเหมือนจะถูกขยายเกินความเป็นจริง

แม้แต่เรื่องที่ฉันเขียนไว้ด้านบนนี้ ก็อาจจะถูกขยายเกินความเป็นจริงก็เป็นได้!!

เมื่อเพื่อนฉันมาถึง ฉันทักทายเพื่อนฉันเพียงเล็กน้อย แล้วปลีกตัวไปดูงานศิลปะด้านบน ราวกับต้องการหนีไปจากพื้นที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด และเป็นกิจกรรมฉันที่ชอบทำมากกว่าในยามว่าง

มันไม่ใช่พื้นที่ของฉัน...นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจน ฉันไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน ยิ่งฉันนั่งเฉยๆ ในบูธของเขา โดยไม่ได้ทำอะไร ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน

อือม ใช่ ฉันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์น่ะ ฉันยังบอกน้องที่เฝ้าบูธเลยว่า ถ้าเป็นฉัน นั่งเฉยๆ แบบนี้ เบื่อตาย...

การได้ไปชมงานศิลปะ ตอกย้ำความเป็น introvert ของตัวฉันมากขึ้น ได้กลับมาอยู่กับตัวเองในบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างแท้จริง ปราศจากความวุ่นวาย มีเพียงฉันและงานศิลป์เท่านั้นที่สื่อสารกันผ่านสัญญะส่วนบุคคล

ลึกซึ้งซะไม่มี!! แม่คุณเอ๊ยยย

หลังจากเสพงานศิลปะจนพอใจ ฉันกลับมาที่บูธด้านล่างอีกครั้ง ฉันเห็นเพื่อนฉันพูดอยู่บนเวที

ฉันรีบถ่ายรูปเพื่อนฉันเก็บไว้ฝากเขาในภายหลัง แล้วหลบไปคุยกับน้องที่รู้จักที่กำลังพักกินข้าวอยู่หลังบูธ ซึ่งบังเอิญอยู่ข้างๆ เวทีพอดี

ข้างในฉันรู้สึกเขินมากๆ ถ้านั่งฟังอยู่ตรงนั้น (หน้าเวที)

นั่นสิ...ทำไมฉันต้องเขินขนาดนี้!!

อย่างหนึ่งที่ตอบได้ (จากการสันนิษฐาน) คือ ถ้าฉันรู้ล่วงหน้า มี plan มาก่อน ตั้งใจว่าจะมาฟัง อาการแบบนี้จะไม่เกิด

แต่ถ้าไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน และบังเอิญมาเจอแบบนี้โดยไม่คาดฝัน!! อืมมม ฉันก็จะเอาตัวไปยืนขอบๆ เวที แอบๆ แบบนี้แหละ เพราะฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของงาน

มันเก้อเขินที่จะต้องมองหน้าคนพูด และเก้อเขินที่ไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน

ถ่ายรูปหน้าตรงๆ ยังไม่กล้า ยังต้องแอบถ่ายข้างๆ เลย ^^"

กลับกัน ถ้าฉันเป็นคนยืนพูดบนเวที แล้วมีคนรู้จักมาฟังด้วย จากเดิมที่เก้อเขินอยู่แล้ว คงจะยิ่งประหม่ากว่าเดิม

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าฉันมั่นใจในตัวเอง กล้าแสดงออก แต่สำหรับฉัน The show must go on ก็เท่านั้น...

------------------------------------------------------

ฉันกลับมาถามตัวเองเรื่อง introvert-extrovert อีกครั้ง จริงหรอที่ฉันห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้...

ฉันเคยอยากอ่านหนังสือให้คนตาบอด อยากเรียนภาษาใบ้ อยากลงไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากเปลี่ยนแปลงเรื่องการศึกษา แต่ฉันยังไม่เคยลงมือทำ

ฉันเคยไปทำกิจกรรมที่บ้านพักคนชราถึง 2 ครั้ง ฉันมีความสุขเวลาที่ได้คุยกับคนแก่ๆ หรือเสิร์ฟอาหารให้ แน่นอน กว่าจะคุยได้ ฉันก็เก้อเขินอยู่นาน

วันเกิดโดม (เดอะสตาร์) โดมจัดคอนเสิร์ตการกุศลหาเงินข่วยสัตว์พิการ ฉันถือกล่องบริจาค ตะโกนอยู่หน้าเวทีหลายชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเหนื่อย และมีความสุขมากๆ

สรุปแล้ว สาเหตุของการ frustrated ของฉันอยู่ที่ไหน?

ฉันคิดว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเรามีเป้าหมายใหญ่แค่ไหน...

แต่จุดเล็กๆ มันอยู่ที่การได้ "ลงมือทำ" และรู้สึกว่าตัวเองเป็นประโยชน์กับคนอื่น

แต่...ถ้าเป็นการลงมือทำ แล้วฉันรู้สึกเก้ๆ กังๆ ไม่คล่องแคล่ว ฉันก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของคนอื่น ไม่มีความสามารถ ไม่เป็นประโยชน์ และทำให้ข้างใน fail และ frustrated มากเช่นกัน...ไม่ต่างจากการไม่ลงมือทำ

อีกประเด็นหนึ่งที่ล้อกัน ก็คือการได้มีส่วนร่วม มีบทบาท มีพื้นที่ ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม การไม่เป็นส่วนหนึ่ง การเป็นส่วนเกิน ไม่มีที่ให้ยืน มีผลต่อจิตใจฉันมากเช่นกัน...

อย่างตอนไปฟังปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ซึ่งเกี่ยวกับงานด้านการศึกษา ทั้งๆ ที่เป็นงานเชิงเปลี่ยนแปลงสังคมเช่นกัน แต่ฉันกลับรู้สึกประทับใจมากๆ และอยากศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น  อาจเป็นเพราะรูปแบบการจัดงานที่แตกต่าง และฉันรู้ตัวชัดเจน ว่าฉันไปในฐานะผู้ฟังบรรยาย

อือม ฉันว่า ฉันได้คำตอบละ...

ป.ล. พอมาอ่านทวนบทความอีกรอบ ประเด็นเรื่อง introvert-extrovert พอเอาศาสตร์ Voice Dialogue มาจับ ฉันสันนิษฐานว่า part ที่เป็น extrovert อาจจะเป็น disowned self ของฉันก็เป็นได้

ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจของฉันสงบขึ้นในระดับนึงเลยทีเดียว

นอนตาหลับละ คืนนี้ ^_^




Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785