วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ก้อง สหรัถ: ผู้ชายสาธารณะ

ในชีวิตของฉัน มีผู้ชายที่ชื่อ "ก้อง" สองคนที่ฉัน "ปลื้ม" มากเป็นพิเศษ...

คนหนึ่งคือ "พี่ก้อง สุทธิศักดิ์" เจ้าของเพจ "โค้ชด้วยการ์ด" ซึ่งจะถือว่าเป็น "เจ้าพ่อ Coaching Card" ในประเทศไทยตอนนี้เลยก็ว่าได้ เขาเป็น idol ของฉันทั้งในด้านความเก่ง ความสามารถที่หลากหลาย ความตั้งใจจริง การพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว และอารมณ์ติสท์ๆ ของเขาในบางมุม

แน่นอนว่าอีกคนหนึ่งคือพระเอกของเราในวันนี้ "พี่ก้อง สหรัถ"

ฉันเจอพี่ก้องครั้งแรกตอนที่ฉันกับเพื่อนไปดู The Voice ss1 รอบการแสดงสด

หลังเลิกรายการ พี่ก้องเดินมาขึ้นรถกลับบ้าน
โอ้โห!! อย่างกับคุณชายที่หลุดออกมาจากในนิยายกำลังจะกลับคฤหาสถ์หรู...
พวกเราซึ่งเป็นติ่งศิลปินมืออาชีพ ปกติกรี๊ดกันเป็นกิจวัตร ถึงกับกรี๊ดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก
ความเป็นผู้ดีของฮี ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเรากรี๊ด เราจะกลายเป็น "นางข้างตลาด" ไปทันที
ตัวจริงหล่อสะกดขนาดไหน..ลองคิดดูเอาเอง...

มาคราวนี้ The Voice ss4 ถือว่าดวงดีมาก
เล่นเกมหน้าแฟนเพจ TheVoiceThailand แล้วได้บัตรยืนมา 2 ใบ!!

โชคดีของคนได้บัตรยืนคือ เห็นหน้าโค้ชชัดเจนมากกกก
(คราวที่แล้วได้บัตรนั่ง เห็นแต่หลังเก้าอี้ ^^")

พอพี่ก้องเข้ามาในสตูฯ เท่านั้น
กรี๊ดดดดดดดดจ๊ะ เสียงกรี๊ดดังสนั่น
MC บนเวทีตอนนั้นกลายเป็นธุลีไปทันที!!

ไม่ว่าพี่ก้องจะขยับตัวทำอะไร...
พี่ก้องเปลี่ยนเสื้อ กรี๊ดดดดดด
พี่ก้องเดินไปขึ้นเวที กรี๊ดดดดดด
พี่ก้องเดินลงจากเวที กรี๊ดดดดดด
พี่ก้องกลับมานั่งเก้าอี้ กรี๊ดดดดดด

มีช็อตหนึ่งก่อนเข้ารายการ...
ทีมงานกำลังบรีฟคนดูในห้องส่งอยู่
พอพี่ก้องหันมาชู 2 นิ้วให้เท่านั้น...
จากปกติที่เป็นเด็กดี ตั้งใจฟัง
กรี๊ดดดดดด!! ลืมตัว สติหลุด...
คนบรีฟถึงกับต้องเงียบ...
เขาคงเพลียจิตพอสมควร ณ จุดๆ นี้...

ปกติฉันไม่กรี๊ดคนหล่อง่ายๆ นะ
แต่กับพี่ก้องต้องยอมใจจริงๆ

อีกช็อตหนึ่งหลังเลิกรายการ...
บรรดาโค้ชต่างขึ้นมาแสดงความยินดีกับคนที่ผ่านเข้ารอบ และถ่ายรูป
พวกคนดูแถวยืนก็ยังไม่ยอมกลับกัน
เกาะขอบเวทีตะโกนเรียกชื่อพี่ก้องกันทั้งจากฝั่งซ้ายฝั่งขวาของเวที
ฉันเอง ใจหนึ่งก็อายที่จะโกนเรียกชื่อเหมือนคนอื่น
อีกใจก็อยากให้พี่ก้องมาทางฝั่งฉันบ้าง
"พี่ก้องงงงงงงงงงงงงงงง"

เอาวะ...คนเราต้องรู้จักก้าวข้าม...

พี่ก้องก็เล่นกับคนดู แกล้งทำเป็นลุกลี้ลุกลน หันซ้ายหันขวา จะไปทางไหนดีน้าาาาา
สุดท้าย ทีมงานเอาไปงาบบบจ้าาาา

เพราะพี่ก้องน่ารักแบบนี้นี่เอง ถึงเป็นขวัญใจของคนทั้งประเทศ <3
บางคนใช้คำว่า "สามีของคนทั้งประเทศ" เลยทีเดียว ^^" 

คนค่อยๆ ทยอยออกจากสตูไปเรื่อยๆ
แต่ฉันก็ยังยืนอยู่ พร้อมกับคนดูบางส่วน
ความอดทนเป็นผล พี่ก้อง (และโค้ชทุกคน) เดินเข้ามาจับมือแฟนๆ ที่รออยู่
แต่คงเพราะฉันมือสั้น เอื้อมไม่ถึง เลยจับไม่ทัน T T
จับทันแต่เฮียโจ้คนเดียว (ขอบอกว่าเฮียโจ้ตัวจริงเท่และเฟี้ยวมากๆ)

หลังจากนั้น พวกเราก็ถูกขับออกจากสตู...

พี่ก้อง ทำให้ฉันเข้าใจถึงคำว่า "บุคคลสาธารณะ"
ฉันแอบคิดว่า ถ้าฉันเป็นพี่ก้อง ฉันจะรู้สึกยังไง
ขยับตัวองศาเดียว คนก็กรี๊ด...
แล้วยังเรื่องการวางตัว ชีวิตส่วนตัวอีก...

บังเอิญไปเสิร์ชเจอใน google พี่ก้องเคยให้สัมภาษณ์กับ ASTV ผู้จัดการ เอาไว้ว่า
"ข้อเสียของการเป็นคนดังคือ สูญเสียความเป็นส่วนตัวครับ เช่น อยากออกไปซื้อขนมปังสักชิ้นหนึ่งแถวบ้าน แต่บางครั้งเราลืมคิด ใส่เสื้อผ้าสบายเกินไป หัวฟู แต่ต้องโดนถ่ายรูปตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่เราอึดอัด มันเหมือนชีวิตเราปลดปล่อยสบายๆ ไม่ได้ ถ้าต้องออกไปหาซื้ออะไรง่ายๆ ก็อาจต้องใส่กางเกงที่ดูดีกว่ากางเกงนอน หรือเสื้อก็ต้องดีกว่าเสื้อยืดเก่าๆ ที่ใส่ประจำที่บ้าน คือ เราต้องทำความเข้าใจว่าอาชีพนี้ก็ต้องเจอแบบนี้ และต้องยอมรับให้ได้ว่าความเป็นส่วนตัวต้องหายไป"
(รักอุ่นๆ 20 ปีของก้อง "เขาเหมือนอากาศที่เราขาดไม่ได้," ASTV ผู้จัดการ, 2558) 
อ่านจบแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ
ดีนะ...ที่เราหน้าตาดี แต่ไม่ได้เป็นดารา :P



FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

月亮代表我的心 พระจันทร์แทนใจฉัน

ที่ผ่านมา ฉันมองเห็นคนอื่นเป็นพระจันทร์เต็มดวง ส่องแสงสว่างสวยงามบนท้องฟ้า และเห็นตัวเองเป็นเพียงเงามืดที่ต้อยต่ำ สวยงามสู้เขาไม่ได้

แต่ฉันกลับลืมไปว่า พระจันทร์ที่สวยงามนั้น ด้านหลังของมันก็มีเงามืดและผิวตะปุ่มตะป่ำซ่อนอยู่ แต่ฉันไม่เคยมองเห็น

ขณะเดียวกัน แท้จริงแล้วฉันก็เป็นพระจันทร์เต็มดวงที่สวยงามเหมือนคนอื่นเช่นกัน เพียงแต่ฉันโฟกัสด้านมืดมากเกินไป จนมองไม่เห็นความสว่างของตนเอง

แล้วอะไรกันนะ ที่เป็นความสว่างของฉันที่ส่องสว่างให้กับผู้คน? ใช่แล้ว ฉันเข้าอกเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจพวกเขา มีจิตเมตตาและอ่อนโยน ฉันเชื่อว่าเนื้อแท้ของฉันก็เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่เย็นนวลตา ไม่แสบร้อนเหมือนดวงตะวัน สำหรับฉันแล้ว คุณค่าในชีวิตของฉันคือการได้ช่วยเหลือผู้อื่น โอบอุ้มพวกเขา เป็นแสงสว่างที่ส่องในความมืดจนกว่าพวกเขาจะพบทางออก นอกจากนี้ฉันยังเป็นคนจริงใจ ซื่อสัตย์ ปรารถนาดีกับผู้อื่นเสมอ

แล้วทำยังไงฉันถึงจะสามารถยืนยันคุณค่าในตัวเองได้นะ?
หากฉันทำตัวไม่น่ารัก หากคนเห็นด้านมืดของฉัน เขาจะยังรักฉันอยู่ไหม?

แม้สุดท้าย นีล อาร์มสตรอง จะขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ แล้วพบว่าดวงจันทร์เป็นเพียงดาวเคราะห์น่าเกลียดดวงหนึ่ง แต่ผู้คนก็ไม่ได้คลายความหลงใหลในพระจันทร์ลง ยังเลือกที่จะชื่นชมด้านสว่าง ไม่ใช่ด้านมืด

ฉันเองก็ควรเลือกที่จะชื่นชมด้านสว่างของตัวเองมากกว่าไปโฟกัสด้านมืดเช่นกัน

ฉันมักพูดเสมอว่า "ฉันเป็นผู้หญิงที่หลงรักดวงจันทร์" และตอนนี้ฉันก็รู้สึกตกหลุมรักตัวฉันเอง ฉันรู้สึกถึงความอ่อนโยนของพระจันทร์ในตัวฉัน จนอยากจะโอบกอดไว้ด้วยความอบอุ่น

月亮代表我的心 พระจันทร์แทนใจฉัน ^^



วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"เคลียร์" กับคู่กรณียังไงเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด?

เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสอ่านบทความในแฟนเพจของครูโอ๋ เบญญาภา บุญพรรคนาวิก (KruOh Charming on Stage) ในหัวข้อ "หุ้นส่วน ต้องพูดกัน

พออ่านจบ คำถามที่เกิดขึ้นในใจก็คือ จะ "เคลียร์" กับคู่กรณียังไงเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด?

ที่ผ่านมา กว่าเท็นจะยอมเคลียร์ นั่นคือ "เก็บกด" ความน้อยใจไว้โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว จนถึง "จุดระเบิด" ที่มักจะระเบิดกับเรื่องเล็กนิดเดียว...

และทุกคนก็ตายเรียบ!!

ครั้นจะโพล่งออกไปทันที ฝ่ายตรงข้ามก็อาจจะตายได้ เราไม่อยากทำร้ายใคร และไม่อยากให้ใครรู้สึกไม่ดีกับเรา ถึงได้พยายามบอกตัวเองให้อดทน "ไม่เป็นไรๆ" และก็เข้าสู่อีหรอบเดิมคือ "เก็บกด"

ครั้นจะรอให้อารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาพูด เราก็กลัวว่ามันจะช้าไป เขาอาจจะไม่อยากเคลียร์กับเราก็ได้?!!? "เธอจะมาพูดอะไรตอนนี้" และเราก็หน้าแหกไปตามระเบียบ ก็เลยเลือกที่จะพูดกับตัวเองว่า "ช่างมันเหอะ" และ "เก็บกด" ต่อไป

"เมื่อเราโกรธคนคนหนึ่ง เราเห็นคนคนนั้นเป็นศัตรูของเราแล้ว...
ลองดูซิว่า แท้จริงแล้วภายใต้ความโกรธ มีความกลัวหรือความรู้สึกอะไรซ่อนอยู่..."
(ข้อคิดที่ได้จาก อ.สันติกโร, ธรรมบรรยายหัวข้อ Inter-Religious Cooperation or More Religious Violence? Buddhadasa Bhikkhu's vision for world peace, 23 พ.ย. 2558)

ถ้าสังเกตดีๆ ทั้งหมดที่เท็นพูด สะท้อนให้เห็นถึงกลไก "ความกลัว" ที่เกิดขึ้นในความคิดของเท็น รวมถึงทัศนคติที่เท็นมีต่อตัวเองด้วย โดยไม่รู้ตัว มันคือเสียงที่ตอกย้ำตัวเองว่า "ตัวฉัน//ความต้องการของฉัน//ความรู้สึกของฉันไม่สำคัญ"

แล้วความเป็นจริงล่ะ?

จากประสบการณ์ตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เท็นไม่พอใจคนคนหนึ่งมากๆ เท็นเลือกที่จะไม่แสดงออกไปทันที (อาจจะมีเผลอหลุดกระเด็นๆ ไปบ้างสัก 2% :P) แต่พยายามเอากลับมาใคร่ครวญพิจารณา เพื่อให้เข้าใจถึงมุมมองที่เขากระทำมากขึ้น ซึ่งบางครั้งมันก็ยากมากๆ ตราบเท่าที่เท็นยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำอยู่

อย่างไรก็ดี การเรียนนพลักษณ์ก็ทำให้เท็นเข้าใจว่า คนแต่ละคนมีมุมมองต่อเรื่องเรืองหนึ่งที่ต่างกัน ไม่มีใครคิดเหมือนกันทุกคน ภายใต้พฤติกรรมของคนคนหนึ่ง มักจะมีเหตุผลของการกระทำที่ซ่อนอยู่ ซึ่งหลายครั้งเป็นเหตุผลที่เราก็คาดไม่ถึง!! แม้เท็นจะไม่สามารถเข้าใจอีกฝ่ายได้ 100% แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เท็นลดการโทษคนอื่นหรือการ "โยนใส่" (projection) ไปได้บ้าง

"หากฉันไม่เข้าใจเธอ ฉันก็อาจจะโกรธเธอได้ตลอดเวลา เราหมดความสามารถที่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง และนั่นแหละคือแหล่งที่มาของความทุกข์"
(หลวงปู่ติช นัท ฮันห์, Being Peace, แปลโดยแฟนเพจ Thai Plum Village)

ผ่านไปประมาณ 3 วัน เท็นตัดสินใจที่จะบอกกับเขาถึงความไม่พอใจของตัวเอง โดยเลือกใช้วิธี "I-message" (หรือ I-statement) คือการพูดจาก "ตัวเอง" หรือ "ฉัน" (I) เป็นหลัก และเป็นการพูดจากความรู้สึก

เปรียบเทียบระหว่าง: "เธอพูดอย่างนี้ได้อย่างไร" กับ "ฉันรู้สึกเจ็บปวดที่เธอพูดแบบนี้" น้ำหนักและความรู้สึกของ 2 ประโยคนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน และประโยคหลังเป็น I-message

ผลลัพธ์ที่ได้ดีเกินความคาดหมายมากๆ!! ไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการสาดอารมณ์ใส่กัน มีแต่ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งนั่นทำให้เท็นโล่งใจเป็นอย่างมากกกกกก

เรียกได้ว่าแทบจะยิ้มทั้งน้ำตาเลยทีเดียว T_T

------------------------------------------------------

I-message และ You-message

โดย โค้ชจิมมี่ พจนารถ ซีบังเกิด (Jimi The Coach Co., Ltd.)
(ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ >..<)

I-message สำหรับแสดงความคิดเห็นเชิงลบ (ตำหนิ/บอกสิ่งที่เราไม่พอใจ)

"ฉันสังเกตว่า (fact)........
ทำให้เกิด (result)........
ฉันรู้สึก (feeling)........
ฉันอยากให้/อยากเห็น (expectation)........
เธอจะได้ (benefit)........"

อาจจะตบท้ายว่า "ที่พูดมาทั้งหมด เธอมีความคิดเห็นว่าอย่างไร"
โทนน้ำเสียงในการพูด ก็มีส่วนช่วยมากค่ะ ^^
เป็นการพูดที่ไม่มีข้อสรุป มีแต่ข้อสังเกต :)

You-message สำหรับแสดงความคิดเห็นเชิงบวก (ชื่นชม)

"เธอทำดีมาก (praise)
ที่ (fact)........
ทำให้ (result)........"




วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตามหา Passion กับงานที่รัก (4)

ในช่วงที่ผ่านมา ฉันทุ่มเทศึกษาศาสตร์ด้านการเติบโตภายในเป็นอย่างมาก เพียงเพราะฉันอยากจะพ้นทุกข์ และมีความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

แม้แต่ตัวฉันเองที่เป็นคนขอให้อาจารย์เปิดคลาสอบรมกระบวนกรให้ ก็ยังไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงตรงจุดนี้!!

พระเจ้าเตรียมเส้นทางอันน่าอัศจรรย์ไว้ให้ฉันเสมอ และมันก็อัศจรรย์ขึ้นเรื่อยๆ...!!

ต่อมา ฉันได้ไปลงเรียน Life Coaching กับพี่จ๊ะ (จีรนันท์ หลายพูนสวัสดิ์) และพี่นะ (ณฐ ด่านนนทธรรม) ส่วนหนึ่งเพราะอยากรู้ว่า อาชีพโค้ชมันเป็นยังไง มันใช่ทางของฉันไหม ฉันจะทำได้หรือเปล่า

การทดลองสมมติฐานนี้โดยสมัครเรียนกับพี่นะพี่จ๊ะถือว่าเหมาะสม เพราะราคาถูกมากๆๆๆ เมื่อเทียบกับสถาบันโค้ชอื่นๆ

แต่การทดลองเล็กๆ ครั้งนี้ กลับนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ตัวฉันตลอดกาล...

ในคลาส จะมีการจับคู่เพื่อฝึกการโค้ช โดยคนหนึ่งเป็น "โค้ช" อีกคนเป็น "โค้ชชี" (หรือผู้รับการโค้ช) ซึ่งโค้ชชีจะยกประเด็นปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในชีวิตขึ้นมา และโค้ชมีหน้าที่ตั้งคำถามหรือเป็นกระจกสะท้อนให้โค้ชชีมองเห็นตัวเองชัดขึ้น และค้นพบทางออกของปัญหาด้วยตนเอง โดยปราศจากการแนะนำ

ขณะที่ฉันรับบทเป็นโค้ชนั่นเอง ฉันได้ตั้งคำถามต่อโค้ชชีของฉัน บางคำถามคงไปสะดุดใจโค้ชชีเข้า...

วินาทีนั้น being ของเขาเปลี่ยน inner เปลี่ยน สีหน้าท่าทางแววตาเขาเปี่ยมไปด้วยความยินดีและเข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างแจ่มชัด...

วินาทีนั้นไม่เพียงแต่เขาที่ enlight ฉันก็ enlight ด้วย...!!

ชั่วเสี้ยวนาทีนั้น ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มใจ เต็มตื้น และสว่างไสวอย่างแท้จริง
มันเป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ไม่ว่าจะจากอาชีพไหนๆ ที่ฉันเคยทำมา

นี่แหละคือสิ่งที่ฉันตามหามาตลอด และในที่สุดฉันก็พบมัน!!

ความรู้สึกยินดีที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกที่ว่า "ฉันเป็นโค้ชที่เก่ง" ไม่ใช่เลย...
แต่การได้เห็นโค้ชชีพบทางสว่างต่างหาก เป็นความรู้สึกที่มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ฉันรู้ดีว่า การค้นพบ "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" นั้นมีค่าเพียงไร
และนี่ก็คงเป็นคุณค่าที่ฉันให้ในชีวิต...

ฉันได้พบคำตอบแล้วว่า "งานที่ใช่" มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรา เก่งอะไร ชอบอะไร หรืออะไรที่ตลาดต้องการ
แต่มันขึ้นกับ "คุณค่าที่เราให้ในชีวิต" (Value or Life Purpose) มากกว่า

เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมา ฉันถึงได้เข้าใจแล้วว่า ทำไมฉันถึงเปลี่ยนงานบ่อย
ต่อให้เรา "เก่ง" ในด้านนั้นๆ แค่ไหน ถ้ามันไม่อาจตอบสนอง "คุณค่า" ในจิตใจเราได้ ยังไงก็ไม่มีความสุข
เจออุปสรรคอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็จะทนไม่ค่อยได้

ขณะเดียวกัน เมื่อฉันรู้แล้วว่าอะไรคือ "งานที่ใช่"
skill ที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน เช่น การโค้ช ฉันก็พร้อมที่จะฝึกขึ้นมาใหม่
เมื่อฉันเผชิญกับอุปสรรค ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอยากจะออกจากเส้นทางเหมือนที่ผ่านมา
ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อใจเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ความสุขที่เกิดจากคุณค่าในชีวิตที่ได้รับการตอบสนอง - มันมีพลังขนาดนั้น

ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาถามว่า
"ถ้าคุณตายไป คุณอยากให้คนจดจำคุณว่าอย่างไร"
มันน่าจะเป็นคำถามที่นำไปสู่คำตอบที่ว่า "อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต"

ฉันอยากให้ผู้คนจดจำฉันในฐานะ "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"
แล้วคุณล่ะ อยากให้คนจดจำคุณแบบไหน ^^

ป.ล. ที่ไม่ใช้ว่า "ตอนจบ" เพราะฉันรู้สึกว่า เส้นทางของฉันยังไม่จบแค่นี้
วันข้างหน้าฉันอาจจะได้พบงานอืนๆ ที่คาดไม่ถึง ที่ตอบสนองคุณค่าในชีวิตของฉันก็ได้ ใครจะรู้ ^_^



วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตามหา Passion กับงานที่รัก (3)

การทำงานที่สำนักพิมพ์แห่งนี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี งานก็ดี เพื่อนก็ดี สภาพแวดล้อมก็ดี อะไรๆ ก็ดี ชีวิตก็ดูดำเนินไปเรื่อยๆ...

แต่...ทำไมข้างในกลับยังไม่รู้สึกว่าได้รับการเติมเต็ม?

จนวันหนึ่งที่ฉันได้ไปเรียนกับครูอ้อย (ฐิตินาถ ณ พัทลุง) นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกับคนที่เป็นผู้บริหาร เจ้าของกิจการ คนมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างสูงในสายอาชีพของตน ที่ผ่านมาคนเหล่านี้ดูเป็นสิ่งที่ไกลตัวฉันมาก และไม่คิดว่าคนอย่างฉันจะไปรู้จักพวกเขาได้ แต่เมื่อฉันได้เห็นคนเหล่านี้แบบเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า ฉันจึงได้รู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาเป็นยังไง

การไปเรียนครั้งนั้นทำให้ฉันกลับมาถามตัวเองว่า แท้จริงแล้วความฝันของฉันคืออะไร? ถ้าสิ่งที่ฉันทำอยู่เป็นเส้นทางไปสู่ความฝัน ทำไมฉันถึงไม่มีความสุข? จริงๆ ฉันเป็นอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า?

สุดท้าย ฉันตัดสินใจลาออกโดยที่ไม่มีงานหรือแผนการอะไรรองรับเลย!! นั่นถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก!! (กรุณาอย่าเลียนแบบ 555)

หลังจากนั้นชีวิตของฉันก็เข้าสู่ "ความมั่ว" อย่างแท้จริง!!

ฉันรับงานบางอย่างที่ฉันคิดว่าฉันน่าจะชอบและทำได้ รวมถึงลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งบรรณาธิการอิสระ copywriter นักวิจัยอิสระ ขายตรง เข้าโครงการอบรมวิธีสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ หรือแม้แต่เป็นเด็กฝึกงานหลังโรงละครเวที!!

สุดท้าย...ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรตอบโจทย์ฉันสักอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี ครั้นจะกลับไปทำงานประจำ ฉันก็ไม่อยากหวนไปสู่จุดเดิมอีก...
.
.
.
.
ในช่วง 2 ปีหลังจากที่ฉันลาออก แม้จะเคว้งคว้าง แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เพราะทำให้ฉันมีเวลาทุ่มเทศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเติบโตทางด้านจิตวิญญาณภายในที่ฉันสนใจ และหนึ่งในศาสตร์เหล่านั้นก็คือ "นพลักษณ์" (Enneagram)*

(*นพลักษณ์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการแบ่งคนออกเป็น 9 ประเภท แต่ไม่ได้แบ่งตามพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพภายนอก แต่แบ่งจากแรงขับดันภายในไม่ว่าจะป็นกิเลส ความคิดยึดติด รวมถึงทัศนคติการมองโลกที่ทำให้เราตกร่องความทุกข์ซ้ำๆ และแสดงพฤติกรรมเกินสัดส่วนบางอย่าง)

การเรียนนพลักษณ์ทำให้ฉันเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและสนุกกับการได้รู้จักกับผู้คนที่หลากหลายและแตกต่าง ฉันจึงศึกษานพลักษณ์อย่างจริงจังนมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

ถึงตอนนี้ ฉันคิดว่า ฉันอาจจะเป็นกระบวนกรนพลักษณ์ (Enneagram Facilitator) ที่ดีได้ จึงได้ตัดสินใจขอให้อาจารย์ที่สอนนพลักษณ์ให้กับฉัน (คือพี่นุช อัญชลี อุชชิน) เปิดคลาสอบรมกระบวนกร (TOT - Training of Trainers) ขึ้น

ชีวิตของฉันดูมีความชัดเจนมากขึ้น...
แต่ "คำตอบที่แท้จริง" ของคำถามที่ฉันตั้งเอาไว้ กลับไม่ได้จบลงที่นพลักษณ์...

(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)





วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตามหา Passion กับงานที่รัก (2)

"ภารกิจการตามหา Passion ของเท็นจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามได้ในบทความฉบับหน้านะคะ ^_^"

นี่เป็นข้อความสุดท้ายที่ฉันทิ้งเอาไว้ในบทความ "ตามหา Passion กับงานที่รัก (1)" เมื่อสองปีก่อน มันเป็นสองปีที่ผ่านประสบการณ์อะไรมามากมาย ทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตา ซึ่งนำไปสู่การเข้าใจตัวเองและการเติบโตภายในที่มากขึ้น

รวมถึงการค้นพบ "Passion กับงานที่รัก" ได้จริงๆ ในที่สุด!!

ถึงมันจะยาวนาน แต่ก็คุ้มค่าที่สุด เพราะมันทำให้หัวใจของฉันเต็มอิ่มทุกครั้งที่ได้ลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่มัน "ใช่"

แล้วฉันเจอมันได้อย่างไร? อาจจะต้องท้าวความยาวสักหน่อย...ยาวกว่าสองปี...

ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี ฉันเลือกเรียนเอกภาษาจีน และเลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาโท นอกจากเพราะความสนใจส่วนตัวแล้ว ฉันยังคิดว่า หากฉันเรียนจบเอกภาษาจีน ภาษีในการหางานในอนาคตน่าจะมีมากกว่าเลือกเรียนเอกประวัติศาสตร์แน่ๆ ทั้งๆ ที่เป็นวิชาที่ฉันถนัดมากกว่าและเป็นความชอบมาตั้งแต่ในวัยเด็ก

จนเมื่อใกล้จะเรียนจบในปีสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าความสามารถด้านภาษาจีนของฉันยังอ่อนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมเอกคนอื่นๆ การต่อสู้ในแวดวงการหางานคงสู้เพื่อนๆ ไม่ได้แน่ๆ และยิ่งเมื่อเรียนถึงระดับสูง มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าฝืนใจเรียนไม่ไหว

ในที่สุด ฉันจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ ท่ามกลางความสงสัยและไม่เห็นด้วยจากหลายฝ่าย แค่ชื่อก็ดูเฉพาะทางและยังนึกไม่ออกว่าจบไปจะทำอะไรกิน

"แกจะไปเป็นอาจารย์หรอ" คนส่วนใหญ่ถามแบบนั้น เอาตรงๆ ฉันไม่เคยคิดจะเป็นอาจารย์เลยในชีวิตนี้ (แม้หมอดูจะทักก็ตาม) แต่ฉันเชื่อว่า ถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ ยังไงก็มีทางไปของมัน

และความเชื่อของฉัน ก็กลายเป็นความจริงเสียด้วย...ตั้งแต่จบปริญญาโทมา ฉันไม่เคยตกงานเลย (และไม่ได้เป็นอาจารย์ด้วย 555) งานประจำที่แรกของฉันคือ นักเขียนหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ประจำสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มันเป็นงานที่ฉันรักมาก แต่...ฉันอยากทำงานที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และมีอิสระในการทำงานมากกว่านี้ ซึ่งระบบที่นี่ขัดกับอุดมการณ์ของฉัน ฉันจึงตัดสินใจลาออก หลังจากทำงานได้ 6 เดือน

ที่ที่สองที่ฉันไปทำงานตรงข้ามกับที่แรกโดยสิ้นเชิง ฉันมีอิสระเต็มที่เมื่ออยู่ที่นี่ มีระบบที่ดี ทำงานที่นี่ฉันชิลมาก แต่...ฉันไม่ชอบเนื้องานเลย 6 เดือนต่อมาจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้งหนึ่ง

ฉันรู้สึกว่า ฉันมีความสามารถด้านการเขียน จึงคิดว่ากลับไปทำงานด้านการเขียนเหมือนเดิมดีกว่า เลยไปทำงานเป็นซับเอดิเตอร์*ที่สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ที่มีระบบที่ดี และทำงานอย่างมีคุณภาพ

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี แต่.........

(อ่านต่อวันพรุ่งนี้ สัญญาว่าจะไม่หายไปเหมือนเคยนะจ๊ะ ^^)

*ซับเอดิเตอร์ มีหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของต้นฉบับหนังสือก่อนที่จะเข้าโรงพิมพ์ ทั้งสำนวนภาษา คำผิด ความถูกต้องของเนื้อหา งาน Artwork ฯลฯ เปรียบเสมือนผู้อ่านคนแรกของหนังสือเล่มนั้น