"ภารกิจการตามหา Passion ของเท็นจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามได้ในบทความฉบับหน้านะคะ ^_^"
นี่เป็นข้อความสุดท้ายที่ฉันทิ้งเอาไว้ในบทความ "ตามหา Passion กับงานที่รัก (1)" เมื่อสองปีก่อน มันเป็นสองปีที่ผ่านประสบการณ์อะไรมามากมาย ทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตา ซึ่งนำไปสู่การเข้าใจตัวเองและการเติบโตภายในที่มากขึ้น
รวมถึงการค้นพบ "Passion กับงานที่รัก" ได้จริงๆ ในที่สุด!!
ถึงมันจะยาวนาน แต่ก็คุ้มค่าที่สุด เพราะมันทำให้หัวใจของฉันเต็มอิ่มทุกครั้งที่ได้ลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่มัน "ใช่"
แล้วฉันเจอมันได้อย่างไร? อาจจะต้องท้าวความยาวสักหน่อย...ยาวกว่าสองปี...
ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี ฉันเลือกเรียนเอกภาษาจีน และเลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาโท นอกจากเพราะความสนใจส่วนตัวแล้ว ฉันยังคิดว่า หากฉันเรียนจบเอกภาษาจีน ภาษีในการหางานในอนาคตน่าจะมีมากกว่าเลือกเรียนเอกประวัติศาสตร์แน่ๆ ทั้งๆ ที่เป็นวิชาที่ฉันถนัดมากกว่าและเป็นความชอบมาตั้งแต่ในวัยเด็ก
จนเมื่อใกล้จะเรียนจบในปีสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าความสามารถด้านภาษาจีนของฉันยังอ่อนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมเอกคนอื่นๆ การต่อสู้ในแวดวงการหางานคงสู้เพื่อนๆ ไม่ได้แน่ๆ และยิ่งเมื่อเรียนถึงระดับสูง มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าฝืนใจเรียนไม่ไหว
จนเมื่อใกล้จะเรียนจบในปีสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าความสามารถด้านภาษาจีนของฉันยังอ่อนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมเอกคนอื่นๆ การต่อสู้ในแวดวงการหางานคงสู้เพื่อนๆ ไม่ได้แน่ๆ และยิ่งเมื่อเรียนถึงระดับสูง มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าฝืนใจเรียนไม่ไหว
ในที่สุด ฉันจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ ท่ามกลางความสงสัยและไม่เห็นด้วยจากหลายฝ่าย แค่ชื่อก็ดูเฉพาะทางและยังนึกไม่ออกว่าจบไปจะทำอะไรกิน
"แกจะไปเป็นอาจารย์หรอ" คนส่วนใหญ่ถามแบบนั้น เอาตรงๆ ฉันไม่เคยคิดจะเป็นอาจารย์เลยในชีวิตนี้ (แม้หมอดูจะทักก็ตาม) แต่ฉันเชื่อว่า ถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ ยังไงก็มีทางไปของมัน
และความเชื่อของฉัน ก็กลายเป็นความจริงเสียด้วย...ตั้งแต่จบปริญญาโทมา ฉันไม่เคยตกงานเลย (และไม่ได้เป็นอาจารย์ด้วย 555) งานประจำที่แรกของฉันคือ นักเขียนหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ประจำสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มันเป็นงานที่ฉันรักมาก แต่...ฉันอยากทำงานที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และมีอิสระในการทำงานมากกว่านี้ ซึ่งระบบที่นี่ขัดกับอุดมการณ์ของฉัน ฉันจึงตัดสินใจลาออก หลังจากทำงานได้ 6 เดือน
ที่ที่สองที่ฉันไปทำงานตรงข้ามกับที่แรกโดยสิ้นเชิง ฉันมีอิสระเต็มที่เมื่ออยู่ที่นี่ มีระบบที่ดี ทำงานที่นี่ฉันชิลมาก แต่...ฉันไม่ชอบเนื้องานเลย 6 เดือนต่อมาจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้งหนึ่ง
ฉันรู้สึกว่า ฉันมีความสามารถด้านการเขียน จึงคิดว่ากลับไปทำงานด้านการเขียนเหมือนเดิมดีกว่า เลยไปทำงานเป็นซับเอดิเตอร์*ที่สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ที่มีระบบที่ดี และทำงานอย่างมีคุณภาพ
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี แต่.........
ที่ที่สองที่ฉันไปทำงานตรงข้ามกับที่แรกโดยสิ้นเชิง ฉันมีอิสระเต็มที่เมื่ออยู่ที่นี่ มีระบบที่ดี ทำงานที่นี่ฉันชิลมาก แต่...ฉันไม่ชอบเนื้องานเลย 6 เดือนต่อมาจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้งหนึ่ง
ฉันรู้สึกว่า ฉันมีความสามารถด้านการเขียน จึงคิดว่ากลับไปทำงานด้านการเขียนเหมือนเดิมดีกว่า เลยไปทำงานเป็นซับเอดิเตอร์*ที่สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ที่มีระบบที่ดี และทำงานอย่างมีคุณภาพ
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี แต่.........
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้ สัญญาว่าจะไม่หายไปเหมือนเคยนะจ๊ะ ^^)
*ซับเอดิเตอร์ มีหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของต้นฉบับหนังสือก่อนที่จะเข้าโรงพิมพ์ ทั้งสำนวนภาษา คำผิด ความถูกต้องของเนื้อหา งาน Artwork ฯลฯ เปรียบเสมือนผู้อ่านคนแรกของหนังสือเล่มนั้น
FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น