วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตามหา Passion กับงานที่รัก (4)

ในช่วงที่ผ่านมา ฉันทุ่มเทศึกษาศาสตร์ด้านการเติบโตภายในเป็นอย่างมาก เพียงเพราะฉันอยากจะพ้นทุกข์ และมีความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

แม้แต่ตัวฉันเองที่เป็นคนขอให้อาจารย์เปิดคลาสอบรมกระบวนกรให้ ก็ยังไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงตรงจุดนี้!!

พระเจ้าเตรียมเส้นทางอันน่าอัศจรรย์ไว้ให้ฉันเสมอ และมันก็อัศจรรย์ขึ้นเรื่อยๆ...!!

ต่อมา ฉันได้ไปลงเรียน Life Coaching กับพี่จ๊ะ (จีรนันท์ หลายพูนสวัสดิ์) และพี่นะ (ณฐ ด่านนนทธรรม) ส่วนหนึ่งเพราะอยากรู้ว่า อาชีพโค้ชมันเป็นยังไง มันใช่ทางของฉันไหม ฉันจะทำได้หรือเปล่า

การทดลองสมมติฐานนี้โดยสมัครเรียนกับพี่นะพี่จ๊ะถือว่าเหมาะสม เพราะราคาถูกมากๆๆๆ เมื่อเทียบกับสถาบันโค้ชอื่นๆ

แต่การทดลองเล็กๆ ครั้งนี้ กลับนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ตัวฉันตลอดกาล...

ในคลาส จะมีการจับคู่เพื่อฝึกการโค้ช โดยคนหนึ่งเป็น "โค้ช" อีกคนเป็น "โค้ชชี" (หรือผู้รับการโค้ช) ซึ่งโค้ชชีจะยกประเด็นปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในชีวิตขึ้นมา และโค้ชมีหน้าที่ตั้งคำถามหรือเป็นกระจกสะท้อนให้โค้ชชีมองเห็นตัวเองชัดขึ้น และค้นพบทางออกของปัญหาด้วยตนเอง โดยปราศจากการแนะนำ

ขณะที่ฉันรับบทเป็นโค้ชนั่นเอง ฉันได้ตั้งคำถามต่อโค้ชชีของฉัน บางคำถามคงไปสะดุดใจโค้ชชีเข้า...

วินาทีนั้น being ของเขาเปลี่ยน inner เปลี่ยน สีหน้าท่าทางแววตาเขาเปี่ยมไปด้วยความยินดีและเข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างแจ่มชัด...

วินาทีนั้นไม่เพียงแต่เขาที่ enlight ฉันก็ enlight ด้วย...!!

ชั่วเสี้ยวนาทีนั้น ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มใจ เต็มตื้น และสว่างไสวอย่างแท้จริง
มันเป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ไม่ว่าจะจากอาชีพไหนๆ ที่ฉันเคยทำมา

นี่แหละคือสิ่งที่ฉันตามหามาตลอด และในที่สุดฉันก็พบมัน!!

ความรู้สึกยินดีที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกที่ว่า "ฉันเป็นโค้ชที่เก่ง" ไม่ใช่เลย...
แต่การได้เห็นโค้ชชีพบทางสว่างต่างหาก เป็นความรู้สึกที่มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ฉันรู้ดีว่า การค้นพบ "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" นั้นมีค่าเพียงไร
และนี่ก็คงเป็นคุณค่าที่ฉันให้ในชีวิต...

ฉันได้พบคำตอบแล้วว่า "งานที่ใช่" มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรา เก่งอะไร ชอบอะไร หรืออะไรที่ตลาดต้องการ
แต่มันขึ้นกับ "คุณค่าที่เราให้ในชีวิต" (Value or Life Purpose) มากกว่า

เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมา ฉันถึงได้เข้าใจแล้วว่า ทำไมฉันถึงเปลี่ยนงานบ่อย
ต่อให้เรา "เก่ง" ในด้านนั้นๆ แค่ไหน ถ้ามันไม่อาจตอบสนอง "คุณค่า" ในจิตใจเราได้ ยังไงก็ไม่มีความสุข
เจออุปสรรคอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็จะทนไม่ค่อยได้

ขณะเดียวกัน เมื่อฉันรู้แล้วว่าอะไรคือ "งานที่ใช่"
skill ที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน เช่น การโค้ช ฉันก็พร้อมที่จะฝึกขึ้นมาใหม่
เมื่อฉันเผชิญกับอุปสรรค ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอยากจะออกจากเส้นทางเหมือนที่ผ่านมา
ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อใจเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ความสุขที่เกิดจากคุณค่าในชีวิตที่ได้รับการตอบสนอง - มันมีพลังขนาดนั้น

ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาถามว่า
"ถ้าคุณตายไป คุณอยากให้คนจดจำคุณว่าอย่างไร"
มันน่าจะเป็นคำถามที่นำไปสู่คำตอบที่ว่า "อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต"

ฉันอยากให้ผู้คนจดจำฉันในฐานะ "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"
แล้วคุณล่ะ อยากให้คนจดจำคุณแบบไหน ^^

ป.ล. ที่ไม่ใช้ว่า "ตอนจบ" เพราะฉันรู้สึกว่า เส้นทางของฉันยังไม่จบแค่นี้
วันข้างหน้าฉันอาจจะได้พบงานอืนๆ ที่คาดไม่ถึง ที่ตอบสนองคุณค่าในชีวิตของฉันก็ได้ ใครจะรู้ ^_^



2 ความคิดเห็น:

  1. ทุกๆการตัดสินใจ มีต้นทุนค่าเสียโอกาสเสมอ ยิ่งนานวัน ต้นทุนนั้นยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
    ในวันที่คุณเงินเดือนซักหก หลัก ชีวิตขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ Passion มันหายไป.
    ถึงวันนั้นคุณต้อง Trade ระหว่าง ความมั่นคงในชีวิต กับ งานที่ให้ Passion ซึ่งมันจะเป็นเรื่องยากมากๆ
    ดังนั้นหากเจอ ฉันทะ ของตัวเองเมื่อไร รีบทำซะ ก่อนที่ต้นทุนของคุณจะสูงเกินไป
    หลังจากนั้น จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นกับ หลัก อิทธิบาท4 ที่เหลือ คือ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
    เมื่อคุณตั้งเข็มทิศแล้ว จักรวาลทั้งมวลจะรวมพลังสนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น

    หากถามฉัน จะจดจำเธอแบบไหน คงตอบว่า "You are Unique"

    ขอให้โชคดี.

    ตอบลบ