วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ธรรมบรรยายในวันแห่งสติ โดย หลวงพี่ฟับจั๊ด 21 พ.ค. 59

พวกเราต้องการอะไรมากมายเหลือเกินจากพระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ต้องการอะไรจากเรา?

Purpose of the Buddha คือความสุขของมวลมนุษย์ และชวนให้เราเป็นอิสระจากความทุกข์ของเรา พระองค์เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะทำเช่นนั้น

ความสุขเป็นสิ่งเรียบง่าย ทุกคนมีความสามารถที่จะมีความสุข แต่อะไรทำให้ทุกคนไม่มีความสุข มีอุปสรรคอะไร

เราทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราทุกคนมีความเป็นพุทธะในตัวเรา มีความสามารถที่จะเข้าใจ เมื่อเราบอกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า เราต้องเข้าใจว่าพุทธะคืออะไร พุทธะ แปลว่า ผู้ที่ตื่นแล้ว ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราตื่นขึ้น ตื่นแล้วแปลว่าอะไร ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา หากเราตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยม แปลว่าเรามีความตื่นรู้ นั่นคือพลังแห่งสติ พุทธะคือสติ ส่องแสงในที่ใกล้และไกล

เราทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นพระพุทธเจ้า here and now ไม่จำเป็นต้องฝึกหลายปีถึงจะมีความเป็นพุทธะ เมื่อเรามีความสามารถที่จะตระหนักรู้ลมหายใจเข้าออกและปัจจุบันขณะ เราก็มีความเป็นพุทธะ ประกอบด้วยสติและสมาธิ ทำให้เกิดปัญญาและความรู้แจ้ง และนั่นแปลว่า เรารับรู้ได้อย่างเต็มที่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในตัวเราและนอกตัวเรา เมื่อเรารู้ ก็จะรู้ว่าเราควรไม่ควรทำอะไร ถ้าเรารู้ว่าเราไม่มีความสงบในตัวเรา เราหายใจเข้าออกเพื่อให้เกิดความสงบ นั่นคือการกระทำของการรู้แจ้ง พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งเช่นนี้ตลอดวันตลอดคืน

ลองดูสิว่าเรากลับมาที่ลมหายใจได้กี่ครั้ง กี่นาที กลับมาที่ธรรมชาติความเป็นพุทธะของเรา พระพุทธองค์ตระหนักรู้ถึงก้าวย่างของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม ใจของท่านรู้ว่าเท้าของท่านเคลื่อนไหวอย่างไร มีอะไรอยู่ใต้เท้า มีอะไรอยู่รอบๆ เท้า จงเดินเหมือนไม่มีความกังวลใดๆ เป็นอิสระจากความโกรธ ความทุกข์ ความกังวล ความคิด เราใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเรา ตาของเราเปิดเต็มที่ มีสิ่งใดที่อยู่ตรงหน้าเรา มีเหตุปัจจัยที่มีความสุขอยู่แล้วรอบตัวเรา เราจึงต้องเปิดตา หู จิตใจ เพื่อที่จะรับความสุข

พระพุทธองค์ตระหนักรู้เสมอว่ามีสิ่งใดรอบตัวท่าน เมื่อท่านเห็นเด็กเล็กๆ เห็นดอกไม้ ท่านยิ้ม และยังอยู่ตรงนั้น เพื่อดอกไม้ เพื่อเด็กๆ นั่นคือความรู้แจ้งในทุกๆ ขณะ

"ไม่มีหนทางสู่ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือหนทาง" ถ้าเราอยากรู้แจ้ง เราต้องเป็นความรู้แจ้ง เราต้องสัมผัสกับประสบการณ์ตรงของธรรมะที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อรอถึงผลในวันพรุ่งนี้ ทุกขณะที่เราฝึกปฏิบัติและนำไปใช้ นั่นคือทุกขณะของความรู้แจ้ง ไม่มีหนทางสู่ความสุข ความสุขคือหนทาง เมื่อเรานำธรรมะไปใช้ ความสุขความเบิกบานจะเกิดขึ้นทันที ถ้าเราเป็นพุทธะ เราเป็นได้ทันที ไม่ต้องรอพรุ่งนี้

เรานำสติไปใช้ได้ในทุกแง่ทุกมุมของเรา โดยไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเป็นชั่วโมง อาจจะอยู่ที่บ้านล้างจาน ดูแลลูก แล้วเกิดความรู้แจ้ง เมื่อเรารู้แจ้ง เราจะรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อเราเลี้ยงลูก เราจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั่น ลูกต้องการอะไร นั่นคือการรู้แจ้งเกี่ยวกับลูก ลูกร้องไห้เพราะอะไร เรารู้ว่าเราควรทำหรือไม่ทำอะไรกับลูก

เราจะหาความกรุณาได้ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ในตัวเอง ถ้าเรารู้วิธีดูแลตัวเอง เราก็กำลังบ่มเพาะความกรุณา เมื่อร่างกายเจ็บป่วย เราเครียด เรารู้ว่าเราจะทำยังไง นั่นคือการตรัสรู้ ความกรุณา คือการปฏิบัติแห่งความรัก ความเข้าใจ

เรามักคิดว่าการตรัสรู้เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไม่สามารถดูแลการตรัสรู้เล็กๆ ก็จะไม่สามารถตรัสรู้ใหญ่ๆ ได้

เราไม่ชอบความโกรธ ความอิจฉา ความเครียด หรืออารมณ์ลบๆ และทุกๆ วันเราก็ต่อสู้กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ทำให้เราตัวเราเครียดมากขึ้น แต่การฝึกปฏิบัติของพระพุทธองค์ ไม่ใช่การต่อสู้ แต่คือสติและอหิงสา ถ้าเราต่อสู้ คนที่เจ็บปวดคือเราเอง สิ่งที่ทำไม่ใช่การต่อสู้แต่คือการยอมรับ กลับมาที่ตัวเอง ขอความช่วยเหลือจากพระพุทธองค์ในตัวเรา พระพุทธองค์จะยิ้ม เราก็ช่วยพระพุทธองค์ยิ้มด้วย ความโกรธเกิดขึ้นแล้ว ฉันจะดูแลเธอนะ ความโกรธจะลดพลังลง หายใจให้ลึกถึงท้องช้าๆ ความโกรธก็จะหายไป

ความโกรธเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา เรากำจัดไม่ได้ มันเป็นกลไกปกป้องตัวเอง เป็นพลังงานที่ทำให้เรามีความแข็งแรงมากขึ้น มีความสามารถในการต่อสู้กับสิ่งที่ลำบาก เช่นคนสมัยก่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับเสือ

ความรู้สึกที่รุนแรงของเราก็มีส่วนที่ดีด้วย แต่ชีวิตปัจจุบันเปลี่ยนไป เราอาจจะไม่ต้องใช้มากนัก ถ้าใช้มากไปจะกลายเป็นความเคยชิน และควบคุมไม่ได้อีกต่อไป มันอาจจะทำลายเราและความสัมพันธ์ เราจะทำยังไงจึงจะส่งความโกรธกลับคลังวิญญาณของเราให้หลับใหล และเรียกมันออกมาเมื่อเราควบคุมได้และต้องการใช้ เราใช้ประโยชน์จากความโกรธ ไม่ใช่ให้ความโกรธมาใช้เรา ทุกอารมณ์เป็นเช่นนี้

jealous ก็เช่นกัน ไม่ได้แย่ตลอดเวลา ถ้าภรรยาไม่แสดงความ jealous สามีก็อาจจะทำอะไรหลายอย่างไปตามทางของเขา

เมื่อเรามีความตื่นรู้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในตัวเรา

เราไม่อาจถือระฆังสติเพื่อเตือนให้เรากลับมาที่ตัวเองได้ตลอด เราจึงต้องหาระฆังในแบบของตัวเอง เช่น เสียงนกร้อง รถพยาบาล เมื่อได้ยินเสียง เราก็กลับมาอยู่กับลมหายใจของตัวเอง เมื่อเรามองเห็นดอกไม้ตรงหน้าเรา เห็นไฟแดง ก็เตือนเราได้ว่า เป็นเวลาที่เราจะกลับมาสู่ลมหายใจ เมื่อเราได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ก็ตามลมก่อนจะรับโทรศัพท์

ตระหนักรู้ถึงความเคลื่อนไหว ความคิด ความรู้สึกของเรา พลังการตระหนักรู้จะเข้มแข็งขึ้น และกลายเป็นความเคยชินแห่งความรู้แจ้ง เราทุกคนสามารถบ่มเพาะพลังนิสัยแห่งความรู้แจ้งได้

เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกๆ วัน ทุกๆ ขณะ ถ้าเรามีสติ เราไม่จำเป็นต้องตำหนิวิจารณ์ตัวเอง เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราไม่มีสติ เราก็มีสติแล้ว และเราก็มีโอกาสที่จะมีสติอีกครั้ง การฝึกของเขาเราก็จะอ่อนโยนนุ่มนวล พระพุทธองค์อยากให้เรามีความกรุณาต่อตัวเรา ไม่ลงโทษตัวเอง

ถ้าเราทำความผิดบางอย่างในอดีต เราจะไม่จมกับความผิด แต่หาทางทำใหม่ให้ดีขึ้น และอาจจะชดเชย 2 เท่าที่ได้ทำผิดไป เพื่อเอาชนะความยากลำบากของเรา ฝ่าฟันความรู้สึกผิดที่มีในอดีตของเรา เราทุกคนเป็นมนุษย์ ทุกคนเคยทำผิด ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแม้แต่พระพุทธองค์ เราจึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสมบูรณ์แบบในตัวเอง เราเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อความเข้าใจและรักมากขึ้น อาชีพของพระพุทธองค์คือความเข้าใจ เปิดหัวใจที่จะเรียนรู้

เปิดหัวใจให้พระพุทธองค์ในตัวเรา เปิดใจที่จะยอมรับความเป็นตัวเรา ทำทุกสิ่งอย่างมีสติและเป็นพระพุทธองค์ในทุกๆ ขณะ




สำหรับผู้ที่สนใจการปฏิบัติตามแนวทางของหมู่บ้านพลัมและฟังธรรมบรรยาย เราจัดกิจกรรมทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือนคี่ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (BIA) นะคะ ติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&view=article&id=201&Itemid=103

FB Fanpage: https://www.facebook.com/tenravipanblog/
Blogger: http://tenravipan.blogspot.com/
Twitter: https://twitter.com/tenravipan
Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785