วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โลกภายในในวันที่เกิด "อุบัติเหตุ" (1)

เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ ก.พ. เวลาประมาณ 21.00 น....

วันนั้นหลังจากที่คุยเรื่องการฝึกโค้ชเสร็จจากบ้านพี่นะพี่จ๊ะแถวศาลายา
ฉันก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อน เพื่อกลับบ้านไปนอนค้างที่บ้านของเขาแถวเพชรเกษม
วันรุ่งขึ้นเราจะไปเป็นผู้ช่วยกระบวนกรให้กับพี่นะ
โดยจะไปทำกระบวนการให้กับชาวพม่าที่กาญจนบุรีกัน

ระหว่างทาง อากาศเย็นสบาย
ลมเย็นๆ ประทะเข้าที่ใบหน้าฉัน
ฉันเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ถ้าตอนนี้มีดวงดาวเต็มท้องฟ้า ก็คงจะดี
ส่วนเพื่อนของฉัน เขาก็ฝันว่าอยากจะขี่บิ๊กไบค์ที่เขาใหญ่
มันเป็นบรรยากาศที่ชิลๆ และมีความสุขมากจริงๆ

จู่ๆ ฉันรู้สึกได้ว่ารถเสียการทรงตัว
รู้ตัวอีกที คือหัวฟาดพื้น!! แล้วมอเตอร์ไซค์ทับขาฉันอยู่!!

ณ ตอนนั้นฉันเข้าใจเลยว่า
ความตาย...มันก็เป็นเรื่องแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเดียว
และมันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย...

ฉันได้แต่นอนมองท้องฟ้าที่ไม่มีดาวอยู่ตรงนั้น
อันที่จริง ฉันมองอะไรไม่เห็นหรอก เพราะแว่นฉันแตก
เพื่อนของฉันอยู่ไหน ฉันก็ไม่แน่ใจนัก
รู้แต่ว่ามีใครก็ไม่รู้มามะรุมมะตุ้มกันเต็มไปหมด

ฉันขอให้พวกเขาช่วยยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นจากตัวฉัน
พอฉันลุกขึ้นได้ ฉันรู้สึกมึนหัวไปหมด
โชคดีที่สวมหมวกกันน็อค

 ณ ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า มันก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีนะ
ไม่ได้รู้สึกกลัว หรือเสียขวัญอะไร

ฉันหันไปขอบคุณกลุ่มคนที่มาช่วยฉัน
เพื่อนของฉันพาฉันเข้าข้างทาง 
เราต่างไต่ถามอีกฝ่าย ว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

วันนั้นจริงๆ มีโชคดีอยู่อย่างน้อย อย่าง
1. ฉันไม่ได้นุ่งซิ่น ฉันใส่กางเกง และนั่งคร่อม
2. เพื่อนของฉัน...เป็นหมอ!!

น่าแปลกมาก ที่ขาฉัน (ซึ่งโดนมอเตอร์ไซค์ทับ) แทบไม่เป็นอะไรเลย
นอกจากแผลถลอก และรอยฟกช้ำนิดหน่อย
แต่ส่วนที่เจ็บที่สุด กลับเป็น "แขน"

เพื่อนฉันพยายามเช็กแขนฉัน ว่าหักหรือไม่
เขาถามฉันว่า รู้สึกชาหรือเปล่า ฉันตอบว่า "ไม่"

แต่อีกสักพักเท่านั้น ความชาก็ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับเป็นลางบอกเหตุ...

เพื่อนของฉันเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนเกิดเหตุมีกระบะมาปาดหน้า
เฉี่ยวโดนรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถเสียหลักล้มลง
กระจกข้างขวาเบี้ยว เบรกที่เท้าพัง

ตอนแรกฉันนึกว่า คนที่มาช่วยฉัน คือเจ้าของกระบะคันนั้น
แต่ความจริง คู่กรณีของฉันจอดรถแอบมองดูอยู่ห่างๆ ซึ่งฉันมองไม่เห็น
เพื่อนของฉันบอกให้ฉันรออยู่ที่มอเตอร์ไซค์
ส่วนตัวเขาเอง ก็เดินไปหาคู่กรณีที่ยังยืนรออยู่

ฉันรออยู่ที่มอเตอร์ไซค์ของเพื่อนอย่างหวั่นๆ
สักพักใหญ่ เพื่อนฉันเดินกลับมาตัวเปล่า

กระบะคันนั้น พอเห็นเพื่อนของฉัน ก็ขับหนีไปทันที

ฉันเจ็บแขนจนเริ่มจะทนไม่ไหวและขยับแขนไม่ได้อีกต่อไป
เพื่อนของฉันลงความเห็นว่า ต้องพาฉันไปโรงพยาบาล
(ซึ่งฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง 555)
แต่ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์เขาไม่ไหวอีกแล้ว (เพราะเจ็บมาก)

แล้วจะทำอย่างไรกับมอเตอร์ไซค์ดี?

เราโชคดีอีกเช่นเคย มีชายหนุ่มหญิงสาวอีกคู่หนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา
พวกเขาแวะจอดถามไถ่เรา ว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือไหม
เพื่อนของฉันขอให้เขายกมอเตอร์ไซค์ขึ้นฟุตบาธให้
และถามถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
(ซึ่งตอนนั้นคือ โรงพยาบาลธนบุรี 2
แต่ต้องไปกลับรถไกลมากๆ)

เมื่อพวกเขาขับมอเตอร์ไซค์จากไป
ก็เหลือเพียงเราสองคน ที่ยืนนิ่งกันอยู่ตรงนั้น
คิดหาทางว่า จะทำอย่างไรกันต่อไป...

ฉันเสนอว่าให้โทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่นะพี่จ๊ะ ซึ่งน่าจะอยู่ใกล้ที่สุด
แต่โชคร้าย ที่ไม่ว่าจะโทรหาเท่าไหร่ ก็โทรหาไม่ติดเลย

เวลานั้น ไม่รู้เป็นเพราะฉันเจ็บแขนมาก หรือเป็นเพราะฉันเป็นศูนย์ใจก็ไม่รู้
ในหัวของฉันว่างเปล่า มีแต่ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้อวลๆ อยู่ข้างใน
ส่วนหนึ่งเพราะกังวลเรื่องแขนของตัวเองด้วย
และใจนั้นก็อยากจะพาตัวเองไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนของฉัน ด้วยสายตาที่วิงวอนบางอย่างและขอความเห็น
โดยไม่เอ่ยคำพูดอะไรออกมา แม้แต่คำเดียว
ในใจได้แต่บอกตัวเองให้ “อดทน อดทน อดทน” กับความเจ็บตลอดเวลา
ชีวิตฉันผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะ ยังผ่านมาได้ ครั้งนี้ก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน

อีกอย่าง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งพร่ำบ่นหรือคร่ำครวญหรืออะไร
นั่นจะเป็นการรบกวนสมาธิ และทำให้เพื่อนของฉันกังวลใจเปล่าๆ

ในความนิ่งของเพื่อนฉัน เขากำลังใช้ความคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เพื่อหาทางออก ตามสไตล์ศูนย์หัว (T7)
แม้เขาจะมีบาดแผลหลายจุด แขนซ้ายยอก เสื้อผ้ามีรอยฉีกขาด
แต่ฉันก็รับรู้ได้ ว่าขณะนั้น เขาดำรงไว้ซึ่งความมี “สติ” อย่างแท้จริง
และมีความเป็น “ผู้นำ” อยู่ในตัว

นั่น...ทำให้ฉันมอบความเชื่อใจและความไว้วางใจทั้งหมดให้กับเขา

เขาเอาเสื้อกันหนาวของฉัน มาทำเป็นผ้าคล้องแขนให้กับฉัน
และตัดสินใจจะลองขับรถไปดูตรงพื้นที่ที่เขาเตรียมจะทำเป็นตลาดนัดข้างหน้า
ดูว่าพอจะฝากรถไว้ได้หรือไม่
แล้วให้ฉันค่อยๆ เดินตามไป

ฉันตกลงอย่างว่าง่าย
แต่ก็ขอร้องให้เขาขับรถช้าๆ หน่อย เพราะตาของฉันมองไม่เห็น
(ฉันสายตาสั้นประมาณ 500)

เมื่อเพื่อนของฉันขับรถล่วงหน้าไปบนฟุตบาธ (เพราะมันสวนเลนปกติ)
สิ่งที่ฉันมองเห็น มีเพียงแต่ดวงไฟสีแดง จากท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขา
ฉันเดินช้าๆ คอยจดจ้องดวงไฟสีแดง ราวกับกลัวว่ามันจะหายไป
อันที่จริง ฉันก็กลัวจริงๆ นั่นแหละ และยิ่งรู้สึกมากขึ้น เมื่อดวงไฟนั้นดูห่างออกไปเรื่อยๆ
ความเป็นลักษณ์ ของฉันทำงาน บวกกับตาที่มองไม่เห็น
ฉันได้แต่เตือนตัวเองว่า “อย่าดราม่าๆๆ”

เมื่อไฟสีแดงนั้นดับลง ฉันรีบเดินให้เร็วขึ้นเท่าที่สภาพจะทำได้
ฉันจะสงบเสียงของลักษณ์ในหัวฉันได้ ต่อเมื่อพาตัวเองไปเห็นของจริง...

ภาพที่ฉันเห็นคือ เพื่อนของฉันกำลังคุยกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง
สรุปใจความสำคัญก็คือ เขาแนะนำให้เพื่อนของฉัน ขับรถไปฝากไว้ที่ปั๊ม ปตท.
แล้วเดินข้ามสะพานลอย ไปโรงพยาบาลธนบุรี 2
และผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้น อาสาจะขับรถ (เก๋ง) พาฉันไปส่งโรงพยาบาล

เพื่อนหันมาถามฉัน ว่าฉันโอเคไหม
แม้ลึกๆ ฉันจะรู้ว่า มันไม่มีอะไร ทุกอย่างจะโอเค ไม่มีปัญหา
แต่มันก็อดกลัวไม่ได้...

ผู้หญิงคนหนึ่ง สภาพบาดเจ็บที่แขนจนขยับไม่ได้
ตามองไม่เห็น ต้องนั่งรถไปกับผู้ชายแปลกหน้าร่างใหญ่
ความกลัวที่เกิดขึ้น จึงถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

และการต้องอยู่ห่างจากมิตรในยามยากเช่นนี้
แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาหนึ่งก็ตาม แต่ฉันก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย

เพื่อนของฉันปลอบฉันให้ไม่ต้องกลัว
เขาจะจำทะเบียนรถเอาไว้ให้
และถ้าใครถึงโรงพยาบาลก่อน จะโทรหาอีกคนทันที

ฉันขึ้นรถของชายแปลกหน้าคนนั้นมา
ในมือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เพื่อความปลอดภัย และเผื่อกรณีฉุกเฉิน
แต่ไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อชายแปลกหน้าเริ่มชวนฉันพูดคุยสัพเพเหระ

ฉันเป็นฝ่ายมาถึงโรงพยาบาลธนบุรี ก่อน
ฉันขอบคุณคนที่มาส่งฉันอย่างจริงใจและสำนึกคุณ
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนมาถึงตอนนี้ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
ยังมีคนไทยดีๆ มีน้ำใจอยู่อีกมากมาย
สังคมไทยยังไม่สิ้นหวัง!!

ฉันโทรศัพท์หาเพื่อนของฉันทันที เขาบอกว่าเขากำลังมา
ระหว่างที่นอนให้พยาบาลทำแผลให้บนเตียงในห้องฉุกเฉิน
แม้จะแสบแผลมากจนต้องสวดภาวนาถึงพระเจ้าอยู่ในใจ
แต่ตาที่พร่ามัวของฉัน ก็คอยมองไปที่ทางเข้าห้องฉุกเฉินตลอดเวลา

ภายในของฉันทั้งรู้สึกโดดเดี่ยว หวาดกลัว และเป็นห่วง
เขาจะไหวไหม เขาจะโอเคไหม ระหว่างทางเขาจะปลอดภัยไหม
ถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ ถ้าเขาทิ้งฉันล่ะ
สารพัดที่ความเป็นลักษณ์มันจะปรุงแต่ง จนจิตใจหาความสงบไม่ได้
แม้สมองจะบอกว่า เขาจะมาอย่างแน่นอนก็ตาม

ฉันไม่รู้หรอกว่าเวลามันผ่านล่วงเลยไปกี่นาที
แท้จริงมันอาจจะสั้นกว่าที่ฉันคิด
แต่มันเป็นการรอคอยครั้งที่ทรมานที่สุดในชีวิตฉันก็ว่าได้
ใจจะขาด................

(อ่านต่อพรุ่งนี้)

สภาพแว่นตาที่สวมขณะเกิดเหต
(ขอบคุณพี่ปุ๊ย เจ้าของภาพค่ะ ^^)

Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น