วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โลกภายในในวันที่เกิด "อุบัติเหตุ" (2)

ในที่สุด เพื่อนของฉันก็ปรากฏตัว
ฉันเบาใจขึ้น ว่าเขาปลอดภัยดี จากการได้เห็นตัวเป็นๆ
แต่ก็อดตกใจไม่ได้ ที่เห็นเขานั่งรถวีลแชร์มา

ฉันถูกเข็นเข้าไปในห้องเอ็กซ์เรย์
และเข็นกลับมาที่ห้องฉุกเฉินตามเดิมเพื่อฟังผล
ผลเอ็กซเรย์ออกมา สรุปว่า แขนฉันหัก...

ฉันไม่ตกใจ ไม่ตื่นกลัว รับฟังผลด้วยใจที่สงบ (เฉยๆ) 
ตั้งแต่ที่แขนเริ่มชา มันก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว

ฉันนอนนิ่งอยู่สักพัก เพื่อนฉันก็เดินมาหา
เขาบอกว่า เขาดูฟิลม์แล้ว กระดูกฉันหักตรงๆ ไม่ต้องกังวล
ณ ตอนนั้น ฉันไม่สนใจ ว่ามันจะหักแบบไหน
หัก ก็คือหัก หักแล้วก็ต้องซ่อม ไม่ว่าจะหักรูปแบบไหนก็ตาม
และฉันก็จะต้องกลับมาหายดี

จะกังวลเพียงนิดเดียว ที่จะต้องบอกที่บ้าน
ถ้าเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากให้ที่บ้านรู้หรอก เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ 

ส่วนเพื่อนของฉัน ก็ถูกจับเข้าห้องเอ็กซเรย์เหมือนกัน
เขาบอกว่า แขนเขาไม่เป็นอะไร

(อันที่จริง ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันนี้เองว่า
จริงๆ ศอกเขาเคลื่อน!!
แต่เคลื่อนไม่มาก และอาศัยความที่เขาเป็นหมอ
เขาเลยจัดการตัวเองจนหายได้

ตอนที่รู้ครั้งแรก ฉันแทบจะเป็นลม...
อยากจะเอาเล็บข่วนหน้าเสียจริงๆ ทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้น!!!!!)

หลังจากนั้น พยาบาลก็เดินเข้ามา เพื่อเจาะเข็มน้ำเกลือ เพื่อจะได้ให้ยาแก้ปวดทางเส้นได้
เขาพยายามถึง ครั้ง ก็ยังไม่ได้ จนต้องเรียกพยาบาลคนอื่นมาช่วย
ฉันขอร้องเขา ว่าอย่าพยายามอีกเลย แผลที่แขน ฉันทนได้
(ทนได้จริงๆ นะ)

เมื่อครั้งที่ พยาบาลยังทำไม่สำเร็จอีก
ฉันร้องไห้ และขอร้องให้พวกเขาหยุด
ความรู้สึกของฉัน มันเหมือนคนที่ถูกทำร้ายซ้ำๆ แต่ทำอะไรไม่ได้
ถ้าใครมาเห็นแขนซ้ายของฉันตอนนี้ จะเห็นรอยช้ำเต็มไปหมด
มันไม่ได้เกิดจากมอเตอร์ไซค์ล้ม แต่มันเกิดจากรอยเข็มล้วนๆ

ไม่ร้องไห้เพราะแขนหัก แต่ร้องไห้เพราะเข็ม
ชีวิต.............

พยาบาลปล่อยให้ฉันได้พัก เพื่อที่จะกลับมาลองใหม่
ฉันร้องขอพบเพื่อนของฉัน
เมื่อเขามาถึง ฉันร้องไห้ไม่หยุดอย่างคนขวัญเสีย จับมือเขาไว้แน่น
ระบายความเจ็บปวดทุกข์ทน รวมถึงคำขอร้องว่าอย่าทิ้งฉันไปไหน ผ่านสัมผัสมือนั้น

เพื่อนของฉันใช้อีกมือหนึ่งแตะที่แขนฉัน และขอให้ฉันดึงความเข้มแข็งขึ้นมา
ในภายหลัง ฉันถามเขากลับว่า ที่ผ่านมา เธอเคยเห็นฉันไม่เข้มแข็งหรอ
เพื่อนฉันตอบว่า เขาเห็นฉันเข้มแข็งมาตลอด
ฉันจึงบอกเขาว่า ใช่ ที่ผ่านมา ฉันเข้มแข็งมาตลอด
แต่ก็มีบางเวลาที่ฉันอยากจะอ่อนแอบ้าง...

เขาอยู่กับเสียงสะอื้นของฉันสักพักใหญ่
แล้วเดินออกไป โดยไม่บอกกล่าวอะไร
น้ำตาของฉันไหลออกมาเงียบๆ
เวลาที่เขาเดินจากไป โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแบบนี้
มันทำให้ฉันกลัวเสมอ

ทุกครั้งที่ความหวาดกลัวว่าจะถูกทิ้งขึ้นมา
แม้หัวจะบอกได้ว่า ยังไงๆ เขาก็ต้องกลับมา
เขาไม่มีทางทิ้งฉันไปไหนอย่างแน่นอน
แต่โลกทัศน์แบบลักษณ์ ก็ยังคงทำงานอย่างซื่อสัตย์
มันขึ้นกับ ณ ตอนนั้น ว่าฉันจะ handle มันได้มากน้อยแค่ไหน
ยิ่งสภาวะร่างกายที่อ่อนแอลง ทุกอย่างมันดูเหมือนจะจัดการยากขึ้นเรื่อยๆ

เขาเดินกลับมาอีกครั้ง พร้อมบอกว่าคุยกับพยาบาลให้แล้ว
สรุปว่า จะให้กินยาแก้ปวดเท่านั้น ไม่เจาะสายน้ำเกลืออีก
นั่นทำให้ฉันโล่งใจราวกับออกจากขุมนรก
เพื่อนของฉันไปหาทิชชู่มาซับน้ำตาให้กับฉัน
ในใจฉันรู้สึกขอบคุณเขาเหลือแสน

ฉันเลือกที่จะแอดมิดที่นี่ คืน ไม่กลับบ้าน
เหตุผลทั้งเรื่องการเดินทาง และสภาพร่างกายที่เป็นอยู่
ฉันไม่อยากเสี่ยง...

เมื่อถึงห้องพัก สิ่งที่แรกที่ฉันทำคือ โทรหาพี่นะพี่จ๊ะ
เพื่อแจ้งข่าวคราวรวมถึงคุยเรื่องงานวันรุ่งขึ้น
ว่าฉันไปกาญจนบุรีไม่ได้อีกแล้ว
แต่พยายามโทรเท่าไหร่ ก็ไม่สำเร็จ!!

ฉันเป็นห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเองเสียอีก
เพราะสำหรับฉัน...มันคือความรับผิดชอบ!!

จนถึงเที่ยงคืน ฉันถึงเลิกพยายาม
แต่ฉันกับเพื่อนก็ยังไม่หลับไม่นอน
พวกเราถอดบทเรียนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
แลกเปลี่ยนความคิดและเรียนรู้ร่วมกัน
เกี่ยวกับโลกภายในของตัวเอง และของอีกฝ่าย
ซึ่งนั่นทำให้ฉันมีความสุขมาก <3

ที่ฉันเขียนทั้งหมด มาจนถึงตอนนี้
แม้จะมีซีนอารมณ์เยอะ เพราะฉันนำโลกภายในออกมาตีแผ่บนหน้ากระดาษ
แต่ในความเป็นจริง สภาพจิตใจตอนนั้นของฉันดีมากๆ
ดูแลการทำงานของลักษณ์โดยรวมได้ดีที่เดียว

สำหรับฉัน เหตุการณ์ครั้งนี้ มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่เลวร้ายอะไรเลย
มันคือ "ประสบการณ์" ครั้งหนึ่งในชีวิต และเป็นประสบการณ์ที่ดี ^^

**บทสรุปของเรื่องนี้ในตอนเช้า**

1. พี่นะพี่จ๊ะโทรกลับมา เฉลยว่าพี่เขาลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ
สุดท้าย พี่นะก็ต้องบินเดี่ยว โดยไร้ผู้ช่วยทั้ง 2 คน
แต่ด้วยประสบการณ์ของพี่นะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี (อยู่แล้ว)

2. ฉันโทรบอกที่บ้านให้ทราบ
พ่อฉันส่งตัวฉันไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
และผ่าตัดในคืนนั้น

สุดท้ายนี้ อยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กัน ทั้งทางเฟสบุ๊ค และทางไลน์นะคะ
ขอบคุณทุกๆ คนที่มาเยี่ยม พี่นุช พี่เบ๋ง จุ๋ม
โดยเฉพาะพี่ปุ๊ย ที่เป็นกระบอกเสียงให้ด้วย รู้กันทั้งวงการนพลักษณ์เลยทีเดียว 5555555

แน่นอนว่า ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ "เพื่อนของฉัน"
สำหรับฉัน เขาไม่ใช่แค่เพื่อน เขาเป็นน้อง เป็นหมอประจำตัว
เป็นโค้ช เป็นกระบวนกรรุ่นพี่
เป็นสารพัดสารเพอีรุงตุงนังสำหรับฉัน 555555555
เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ฉัน close และ trust ที่สุด!!
ขอบคุณทุกความผูกพันที่มี ขอบคุณทุกความใส่ใจที่ให้
ขอบคุณทุกเหตุปัจจัย ทุกความงดงามที่เกิดขึ้น
ที่ทำให้เราเรียนรู้หลายอย่างร่วมกัน
ตั้งแต่รู้จักกันมา จนถึงตอนนี้

ขอบคุณที่เป็นเธอในคืนนั้น
ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
ที่เธอเคยถาม ว่าฉันโกรธเธอไหม
จนถึงวันนี้ ฉันก็ยังตอบเหมือนเดิม ว่าฉันไม่เคยโกรธเธอเลย

และขอโทษด้วย ถ้าฉันทำบางสิ่งบางอย่างให้เธอรู้สึกอึดอัด
ถึงเธอจะยินดีที่จะทำให้ แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้...จริงๆ...

สุดท้าย...สิ่งที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ
ฉันดีใจที่มีเธอนะ...คุณหมอผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ^_^
(https://www.youtube.com/watch?v=aL368g3QywQ)


ตุ้มหูดอกรักที่เหลือเพียงข้างเดียว หลังเกิดอุบัติเหตุ
คืนนั้น เพื่อนของฉัน อุตส่าห์จะขับรถออกไปหามาคืนให้
ฉันบอกว่า "ไม่ต้องหรอก" จะบ้าหรอ ใครจะยอมปล่อยให้ออกไปเสี่ยง

ตุ้มหูคู่นี้สำคัญ แต่คนข้างหน้าสำคัญสำหรับฉันมากกว่า...
สิ่งนี้จึงกลายเป็นตัวแทนของความประทับใจ และความทรงจำที่สวยงาม...


Google+: https://plus.google.com/109907586945597973785

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น